ช่วงปีที่ผ่านมา สังคมในแวดวงเฟสบุคของผม
มีเพื่อนหลายคนที่หันมาปั่นจักรยานกันมากขึ้น
หลายคนที่มีกลุ่ม และออกปั่นกันอย่างจริงจัง เสาร์อาทิตย์มีไปออกทริปข้างนอกกัน
ปั่นกันทีละหลายสิบกิโล หรือบางคนก็ว่ากันเป็นร้อยกิโล
แรกๆ ผมนึกสงสัยเหมือนกัน มันปั่นกันยังไงได้ขนาดนั้นครับ
หลายครั้งที่ผมมีโอกาสไปท่องเที่ยว เช่นทางเหนือ เชียงใหม่ ปาย
ผมเห็นนักท่องเที่ยวจำนวนนึง ที่หาเช่าจักรยานเพื่อปั่นไปมาในระยะที่ไม่ไกลนัก
รู้สึกว่ามันสะดวกกว่าขับรถยนต์ โดยเฉพาะที่ปาย
ซึ่งผมออกจะรู้สึกรำคาญตัวเองครับ ที่จะไปไหนที ต้องเอารถไปทุกครั้ง
ไอ้ครั้นจะหาเช่าจักรยานปั่นไป ด้วยน้ำหนักร่วมร้อยกิโลของผม
เกรงว่าจะทำจักรยานเช่านั่นคอหักเสียก่อน จนระงับความคิดนั้นไป
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่เห็นคนปั่นจักรยาน
ผมก็ได้แต่มองดูด้วยความอิจฉาครับ
อยากไปปั่นเล่นกับเขา แต่ก็ได้แต่ดู
เริ่มศึกษาดูเอาตามเนตบ้าง ปรึกษารุ่นพี่คนนึง ที่เค้าเป็นนักปั่นจริงๆ
พี่เค้าก็ไล่ให้ผมไปลดความอ้วนก่อน เค้ากลัวผมจะหัวใจวายตายขณะขับครับ
ซึ่งผมก็เกรงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่วายที่จะมองหาคนอ้วนๆ ที่ปั่นจักรยานเพื่อเป็นตัวอย่าง
ข้อแม้ในความรู้สึกของผม มันค่อนข้างเยอะเอาการอยู่เหมือนกันนะครับ
สำหรับการจะเริ่มปั่นจักรยานสักครั้ง
1. อ้วนเกินไป จักรยานไม่น่าจะรับน้ำหนักได้
2. เราจะหัวใจวายตายอย่างที่พี่เค้าว่าไว้รึปล่าว
3. ราคาจักรยานแพงแสนแพง (สมัยไม่นานมานี้ ปรึกษาคุณมูน ผมยังตั้งงบสำหรับจักรยานใหม่ไว้แค่ 6-7 พัน
พึ่งมารู้ทีหลัง ว่าจักรยานสมัยนี้เค้าขายกันเป็นหลักหมื่น)
4. ไม่กล้าออกถนนแน่ แล้วจะไปปั่นที่ไหน ต้องหอบหิ้วจักรยานไปปั่นไกลๆ ยังไง
5. ไม่มีเพื่อนปั่น ปั่นคนเดียวจะไหวเหรอ จะสนุกเหรอ
ฯลฯ
ข้อแม้เยอะแยะครับ ที่ทำให้ผมยังไม่ได้ซื้อจักรยานซะที
ได้แต่มองๆ โดยไม่ค่อยได้ศึกษารายละเอียดอะไร
จนมาเจอเพื่อนคนนึงครับ เค้าเปิดเป็นร้านขายส่งจักรยานมือสองจากญี่ปุ่น
เค้าก็ชวนไปดูเล่นๆ ผมก็ไปดู โดยไม่ได้คิดอะไรมากครับ
ไปดู ก็ละลานตาไปกับจักรยานหลายร้อยคันที่จอดเรียงรายอยู่
หลายคันหน้าตาสะสวย เพียงแต่สภาพเก่าเยินไปเยอะ ราคาถูกมาก (ราคาเพื่อน)
เพื่อนก็ลากจักรยานมาให้ 2 คัน บอกให้ผมลองเอาไปขี่ดู
ผมไม่เคยปั่นจักรยานมาประมาณ 20 กว่าปีครับ
ขึ้นคล่อมครั้งแรก ใจคอไม่ค่อยดี
ลองปั่นหัวส่ายไปนิดหน่อย แต่ก็พอไหว (เพื่อนบอกว่า จักรยานมันอยู่ในเลือด ถ้าเคยปั่นเป็นจะปั่นได้)
แต่พอปั่นไป ลมปะทะหน้า มันรู้สึกดีอย่างประหลาดครับ
ผมเล่าปัญหาข้อแม้ต่างๆ ให้เพื่อนฟัง
เพื่อนลากรถคันเล็กมาอีกคัน เป็นรถพับได้ ล้อขนาด 20 นิ้วคันเล็กๆ
บอกให้ลองขึ้นไปขี่ดู พังไม่เป็นไร
ผมเลยลองขึ้นไปขี่ ปรากฏว่าขี่ได้ ไม่มีปัญหา รถไม่ได้มีเสียงออดแอดให้ผมได้ยินเลย
เพื่อบอกว่า ถ้าจะเอาจริงๆ ก็ขี่ได้ เพียงแต่ล้อเล็กปั่นแล้วมันจะเหนื่อยกว่า เพราะไม่สมตัวผม
วันนั้น ผมจึงได้จักรยานเชฟโรเลตพับได้ ขนาดล้อ 26 นิ้ว เป็นรถเสือภูเขาใส่ท้ายรถกลับบ้านครับ
สภาพที่ได้ไปเยินพอสมควรครับ
สนิมเขลอะไปทั้งคัน ยางแตกลายงาไปทั่ว แต่ผมชอบรูปทรงของมันครับ
ถึงบ้าน แฟนเห็นก็ตกใจ พอผมบอกว่าซื้อจักรยานมาแล้วอยู่ท้ายรถ
ถามว่าเอาจริงเหรอ
แล้วเธอก็ยืนขำ เมื่อเห็นสภาพรถครับ
ผมได้รถจักรยานคันแรกมาโดยที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรเลย
ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะซ่อมมันยังไง แต่คืนนั้น ผมก็เอาไปลองปั่นดูรอบๆ หมู่บ้านครับ
ปั่นไปได้สักประมาณ เกือบ 10 กิโล (วนไปวนมา)
หลังจากนั้น ผมก็ไปหาสเปรย์พ่นไล่สนิมมาพ่นไล่สนิมที่เกาะรถไปทั้งคัน
(มารู้ทีหลังว่ามันไม่ดี เพราะมันจะละลายจารบีที่โซ่และเฟืองไปด้วย)
นั้งขัด เช็ด พิจารณา จนสนิมที่โซ่ ที่เฟือง หายไปพอสมควร รถดูแจ่มขึ้นผิดหูผิดตา
หลังจากนั้น ก็เอาใส่ท้ายรถไปที่ร้านจักรยานอีกร้านที่อยู่ไกล้ๆ เพื่อเปลี่ยนยาง
จึงได้ความรู้มาเพิ่มเติมเรื่องลมยาง