หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)
แถวตรง หน้าเดิน
เดิน เดิน เดิน เดินออกมาจากบ้าน ที่พัก ที่ทำงาน เดินออกมา ปกป้องแผ่ดินไทย ปกป้องชาติ ศาสนา กษัตริย์ ที่รักยิ่งของเผ่าไทย ลูกไทย หลานไทย ผู้มีหัวใจจงรักภักดี คงจะต้องถึงเวลาเสียที ที่ท่านจะนำความจงรักภักดี ออกมาแสดงพลังปกป้องพระเจ้าอยู่หัว ราชวงศ์จักรี อย่าปล่อยให้พระองค์ท่าน อยู่อย่างโดดเดี่ยว ต่อสู้อยู่เพียงลำพัง เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ระบอบทักษิณ ได้เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้ทุกองค์กรในประเทศนี้เป็นอัมพาต อ่อนแอลง เพื่อต้องการจะรวบอำนาจและโดดเดี่ยวสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อมาก็ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ระคายเคือง โดยมีกระบวนการสร้างเรื่องสร้างภาพให้ไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาปัญญาชน ระบบทักษิณพยายามแทรกซึมเข้าไปทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่วงการศึกษา และศาสนา มันซื้อทุกอย่างที่ซื้อได้ แม้แต่ชีวิต และจิตวิญญาณไทย แล้วมันก็ทำให้ผู้ที่ถูกซื้อได้ตกเป็นเครื่องมือของมัน ใช้ความรู้ความสามารถหันมาทำร้ายทำลายความศรัทธา ความเชื่อของลูกไทยหลานไทย ที่มีต่อราชวงศ์จักรี ผู้ทรงมีพระคุณมหาศาลต่อแผ่นดินไทย ดังเช่นพระราชกรณียกิจสำคัญที่ผ่านมา ของแต่ละรัชกาล
พระราชกรณียกิจรัชกาล ๑
ซึ่งไทยยังคงมีสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน ต้องทรงเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก สงครามที่แสดงพระอัจฉริยภาพอย่างมากคือ สงคราม ๙ ทัพ ทั้งที่ทรงมีกำลัง ทหารเพียงครึ่งหนึ่งของพม่า แต่ก็สามารถทำสงครามขับไล่อิทธิพลพม่าออกจาก ล้านนา จนเป็นที่ซุกหัวนอนของคนตระกูลชิน หัวเมืองเหนือและราชอาณาเขตได้ โดยเด็ดขาดทำให้อาณาจักรไทยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ แล้วก็ยังมีพระราชกรณียกิจในด้าน อื่นๆ อีกมากมาย
พระเราชกรณียกิจรัชกาลที่ ๒
ไทยยังต้องผจญสงครามกับพม่าอย่างต่อเนื่องมีการสร้างเมืองและป้อมปราการ ต่างๆ ขึ้นมากมายเพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกเข้าโจมตีพระนครได้โดยง่าย ทรงทำนุบำรุงศาสนา ศิลปวัฒนธรรม เป็นยุคทองของวรรณคดีไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเล่มองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และ วัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ ได้ยกย่องพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลก ในรัชกาลนี้มีช้างเผือกมาสู่พระบารมีถึง 3 เชือก จึงทรงมีพระราชดำริให้แก้ไขธงชาติไทยจากที่เคยใช้ธงแดงมาตั้งแต่สมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช ให้ทำเป็นรูปช้างเผือกอยู่ในวงจักรติดในธงพื้นแดง ซึ่งใช้เป็นธงชาติไทยสืบต่อกันมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๖
พระราชกรณียกิจในรัชกาลที่ ๓
ทรงทำการค้ากับต่างชาติ มีรายได้จากการค้าขายสูงมากเงินตราในท้องพระคลัง ที่พระองค์ทรงค้าขายได้ซึ่งเรียกขานว่า เงินถุงแดง ได้นำมาใช้เป็นค่าปฎิกรรม สงครามในปี รศ.๑๑๒ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการถูกยึดครองแผ่นดินจากชาติยุโรป และด้วย เหตุนี้เอง พระองค์จึงถูกขนานพระนามว่า "เจ้าสัว" ทรงให้สร้างเมือง สมุทรปราการให้มีป้อมปราการต่างๆ เพื่อป้องกันภัยทางทะเลทางฝั่งตะวันออก ในรัชกาลของพระองค์บ้านเมืองยังคงต้องประสบปัญหากับการรุกรานจากญวนอยู่ รวมทั้งกับการล่าอาณานิคมของชาติยุโรปอีกด้วย โปรดให้จารึกตำรา และวิทยาการต่างๆ ลงบนแผ่นหินประดับในวัดสำคัญหลายวัด เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย ในรัชสมัยนี้มีตำราเรียนเกิดขึ้น ๓ เล่มคือ โคลงจิดามณี ประถม ก กา และปฐมมาลา อีกทั้งยังมีการพิมพ์หนังสือด้วยแท่นพิมพ์เป็นครั้งแรกในประเทศ ไทยอีกด้วย
พระราชกรณียกิจในรัชกาลที่ ๔
ทรงตั้งโรงพิมพ์ของรัฐบาล ตั้งโรงกษาปณ์เพื่อผลิตเงินเหรียญ แทนเงินพดด้วง และเบี้ยหอยที่ใช้อยู่เดิมมีโรงสีไฟ โรงเลื่อยจักร เปิดที่ทำการศุลกากร ตัดถนน สายหลักๆ มีรถม้าขึ้นใช้ครั้งแรก และให้ขุดคลองต่างๆ มากมายได้จัดตั้งตำรวจนครบาล ศาลแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ทรงเชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์ สามารถคำนวณการเกิดจันทรุปราคาและ สุริยุปราคาได้อย่างแม่นยำ
พระราชกรณียกิจ รัชกาลที่ ๕
สิ่งที่คนไทยควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุดคือ การได้พ้นจากความเป็นทาสในรัชสมัยของพระองค์และรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น ของชาติตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม แม้ว่าเราจะต้องยอมตัดแขนขา เสียดินแดนไป บางส่วนซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมากที่ไม่สามารถรักษาดินแดนของบุรพกษัตริย์ไว้ได้ ถึงกับประชวรไม่ยอมเสวย พระโอสถและไม่ประสงค์จะมีพระชนม์ชีพอยู่อีก ในขณะที่พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ความเจ็บแค้นในครั้งนั้น ทรงชักชวนให้ทหารเรือ สักตัวอักษรคำว่า รศ.๑๑๒ ไว้ที่กลางหน้าอก
พระราชกรณียกิจรัชกาลที่ ๖
ระบบการศึกษาไทยรุ่งเรืองอย่างมากในรัชกาลนี้ มีมหาวิยาลัยแห่งแรก คือ จุฬาฯ และสถาบันการศึกษาแห่งแรก คือ เพาะช่าง ยกเลิกบ่อนการพนัน ลดการค้าฝิ่น ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักอีกแหล่งหนึ่งของรัฐบาล ตราพระราชบัญญัติขนาน นามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นการเริ่มต้นให้คนไทย มีนามสกุลใช้ โดยได้ทรงพระราชทานนามสกุลแก่ผู้ที่ขอมา ด้วยจัดตั้งธนาคารออมสิน ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อหุ้นของ ธนาคารสยามกัมมาจล ทุนจำกัด (ปัจจุบันคือ ธนาคารไทยพาณิชย์) ซึ่งมีปัญหาการเงิน ทำให้ธนาคารของ คนไทยแห่งนี้ดำรงอยู่มาได้ถึงปัจจุบันทรงริเริ่มตั้ง บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด ซึ่งได้เป็นกิจการอุตสาหกรรมสำคัญของไทยต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ทรงจัดตั้งสภาเผยแผ่พาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานคล้ายกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจใน ปัจจุบันทรงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ ผ่านสื่อมวลชนที่สำคัญ ในยุคนั้นคือหนังสือพิมพ์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีเสรีภาพ สูงยิ่งกว่าสมัยหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ ทรงทดลองและฝึกให้ข้าราชบริพารรู้จักการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยทรง สร้างเมืองจำลอง "ดุสิตธานี" ขึ้น เป็นเมืองที่มีพรรคการเมือง, การเลือกตั้ง, และการบริหารตามระบอบ ประชาธิปไตย ตั้งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และวชิรพยาบาล เพื่อรักษาพยาบาล ประชาชนที่เจ็บไข้ได้ป่วยทรงเปิดสถานเสาวภา เพื่อผลิตวัคซีนและเซรุ่ม ทรงเปิด การประปากรุงเทพฯ ทรงเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซึ่งเป็นผลดีแก่ประเทศไทย อย่างยิ่งในฐานะผู้ชนะสงคราม ประเทศไทยสามารถเจรจากับประเทศมหาอำนาจ ขอแก้ไขสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและ สนธิสัญญาจำกัดอำนาจการ เก็บภาษีของประเทศไทยทำให้ประเทศไทยพ้นสภาพการเสียเปรียบในด้านการ ศาล และสามารถดำเนินนโยบายด้านภาษีได้โดยอิสระ จัดตั้งกองเสือป่า ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นอันมาก จึงได้รับพระสมัญญานามว่า สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าและ องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO ยูเนสโก้) ก็ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ เป็นปราชญ์สยามทรงปรับปรุงและขยายงานกิจการรถไฟ สร้างสะพานพระราม ๖ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมทางรถไฟทั้งปวงในพระราชอาณาจักรโดยโยงเข้ามาสู่ ศูนย์กลางที่สถานี หัวลำโพง ทรงจัดตั้งกรมอากาศยานได้เริ่มการขนส่ง ไปรษณียภัณฑ์ ทางอากาศระหว่างกรุงเทพฯ ไปยังนครราชสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓
พระราชกรณียกิจรัชกาลที่ ๗-๘
อยู่ในช่วงร้อนแรงของการเมืองภายในประเทศจากกลุ่มคนที่ไปศึกษาในต่าง ประเทศ และอยากนำการปกครองของตะวันตกมาปรับใช้ในประเทศไทยในที่สุด ประเทศไทยก็เปลี่ยนแปลงการปกครอง ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
พระราชกรณียกิจรัชกาลที่ ๘
ทรงขึ้นครองราชย์แต่ยังพระชนมายุน้อย พวกคณะราษฎร์พยายามครอบงำ พระองค์ให้ตกอยู่ในอำนาจ เพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือ แต่พระองค์ก็มิได้ทรงยินยอม จึงทรงถูกลอบปลงพระชนม์ โดยคนของคณะราษฎร์ที่เข้ามาเป็นราชองครักษ์ แล้วประกาศว่าพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลสิ้นพระชนม์ เพราะทรงทำปืนลั่น กาลต่อมาความจริงจึงเปิดเผย
พระราชกรณียกิจรัชกาลที่ ๙
ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรชาวไทยเสมอมา เริ่มจากเสด็จเยี่ยมเยียน และพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ เริ่มจากราษฎร ที่อยู่ใกล้เคียงกับพระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และค่อยๆ ขยายพื้นที่ไปทั่วทุกภาคของประเทศจนอาจกล่าวได้ว่า
“ไม่มีพื้นที่แห่งใดเลยในประเทศไทย ที่พระองค์ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินไปถึง”
จำนวนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ปัจจุบันมีมากกว่า ๔,๐๐๐ โครงการ พระองค์ทรงงานหนักตรากตรำมายาวนาน ทรงถือกำเนิดมาพร้อมภาระและ หน้าที่ ใครจะว่า เกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วสุขสบาย บางคนยังไม่เคยลงไปเดินลุยขี้โคลน คลุกดินคลุกฝุ่นเลยด้วยซ้ำ ในขณะที่พระเจ้าแผ่นดินไทย ในหลวงของเรา ทรงทำมาหมดแล้วทุกอย่าง ทั้งลงไปเดินลุยขี้โคลน ขับรถไปตามป่าเขา ถิ่นทุรกันดาร ตากแดด ตากฝน ภาระเพื่อประเทศชาติยิ่งใหญ่แค่ไหน ทรงแบกรับไว้พระองค์เดียว ที่สำคัญ ไม่อยู่ในฐานะที่จะออกมาแก้ต่างอะไร กับใครได้ คนทั่วไป ถูกใครว่า ใครกล่าวหา ยังออกมาโต้ตอบได้ไม่อึดอัดแต่พระเจ้าแผ่นดิน “ทำไม่ได้”
แล้วพวกเราพสกนิกรของพระองค์จะยังคงนิ่งเฉย เมื่อพระองค์มีภัย มีคนชั่วจ้อง ทำร้ายพระองค์ ลูกไทย หลานไทยจะปล่อยให้พระองค์โดนรังแกกระนั้นหรือ แล้ววันข้างหน้าใครจะกล้ามาทำดีเสียสละเพื่อแผ่นดิน เพราะทำแล้วถูกรังแก ไม่มีคนไทยคนไหนคิดจะช่วยเหลือ พวกลูกไทย หลานไทยทั้งหลายต้อง ไม่ลืมว่าประเทศไทยดำรงความเป็นชาติไทย ไม่เคยตกเป็นทาสใครก็ด้วยพระ ปรีชาญาณของพระเจ้าอยู่หัวแต่ละรัชกาล ที่ทรงใช้กุสโลบายนำพาบ้านเมืองให้ ผ่านพ้นจากวิกฤตนาๆ มาได้ จนได้ความเป็นไทย ต่อมามีลัทธิประชาธิปไตย ที่ปล้นพระราชอำนาจมาจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ซึ่งพระองค์ท่าน ก็ยินดีมอบพระราชอำนาจให้แก่ประชาชน มิใช่ให้อำนาจนั้นแก่บุคคลหรือ คณะบุคคล ดังพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่ง ความว่า
“เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนากับพวกได้ทำการยึดอำนาจการปกครองโดยใช้กำลัง ทหาร ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ แล้ว ได้มีหนังสือมาอัญเชิญข้าพเจ้า ให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าได้รับคำเชิญนั้น เพราะเข้าใจว่า พระยาพหลพลฯ และพวกจะสถาปนารัฐธรรมนูญตามแบบ อย่างประเทศทั้งหลาย ซึ่งใช้การปกครองตามหลักนั้น เพื่อให้ประชาราษฎรได้ มีสิทธิที่จะออกเสียงในวิธีดำเนินการปกครองประเทศ และ นโบายต่างๆ อันจะเปนผลได้เสียแก่ประชาชนทั่วไป ข้าพเจ้ามีเลื่อมใสในวิธีการ เช่นนั้นอยู่แล้ว และกำลังดำริ จะจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศสยาม ให้เป็นไปตามรูปนั้น โดยมิให้มีการกระทบกระเทือนอันร้ายแรง เมื่อมามีเหตุอันรุนแรงขึ้นเสียแล้ว และเมื่อผู้ก่อการรุนแรงนั้นอ้างว่า มีความประสงค์จะสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นเท่านั้น ก็เป็นอันไม่ผิดกับหลักการที่ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยู่เหมือนกัน
ข้าพเจ้าจึงเห็นควรโน้มตามความประสงค์ของผู้ก่อการยึดอำนาจนั้นได้ เพื่อหวังความสงบราบคาบภายในประเทศ ข้าพเจ้าได้พยายามช่วยเหลือในการที่จะรักษา ความสงบราบคาบ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงอันสำคัญนั้น เปนไปโดยราบรื่น ที่สุดที่จะเปนได้ แต่ความพยายามของข้าพเจ้าไร้ผล โดยเหตุที่ผู้ก่อการ เปลี่ยนแปลงการปกครองหาได้กระทำให้บังเกิดมีความเสรีภาพในการเมืองอย่าง สมบูรณ์ขึ้นไม่... และมิได้ฟังความคิดเห็นของราษฎรโดยแท้จริง และจากรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะพึงเห็นได้ว่าอำนาจที่จะดำเนินนโยบายต่างๆ นั้น จะตกอยู่แก่คณะผู้ก่อการ และผู้ที่สนับสนุนเป็นพวกพ้องเท่านั้น มิได้ตกอยู่แก่ผู้แทนซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือก….
ข้าพเจ้าเห็นว่า รัฐบาลและพวกพ้องใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัว บุคคล และหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใด ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้น ในนามข้าพเจ้าต่อไปได้
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยฉะเพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้น โดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของ ประชาราษฎร….”
เราจะเห็นได้ว่า พระเจ้าอยู่หัวแห่งราชวงศ์จักรี มิได้ทรงห่วงพระราชอำนาจ ทรงยินดีที่จะสละพระราชอำนาจนั้นให้เป็นของปวงชนชาวไทย หากจะทำให้ ประชาชนของพระองค์มีความผาสุขสงบ ร่มเย็น แต่พอพระองค์ทรงเสด็จนิวัตออกไปนอกประเทศแล้ว พระองค์ก็มิได้ต้องการที่จะกลับเข้ามามีอำนาจ หรือแย่งชิงอำนาจของพระองค์กลับคืนมา ซ้ำยังทรงกำชับด้วยว่า
“อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่มีความประสงค์ที่จะให้ผู้ใดก่อการไม่สงบขึ้นในประเทศ เพื่อ ประโยชน์ของข้าพเจ้า ถ้าหากมีใครอ้างใช้นามของข้าพเจ้า พึงเข้าใจว่า มิได้เปนไปโดยความยินยอมเห็นชอบหรือความสนับสนุนของข้าพเจ้า”
แต่นายทักษิณ เป็นผู้กระหายอำนาจ บ้าอำนาจ ต้องการจะมีอำนาจ หากมี คำถามว่าทำไมนายทักษิณ และคนตระกูลชิน ต้องการอำนาจบริหารบ้านเมืองนักหนา ซึ่งจะแตกต่างจากพระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์จักรี ที่มิได้ทรงอาลัยใยดีต่อพระราชอำนาจ เพราะทุกพระองค์มิได้ทรงมีผลประโยชน์แอบแฝง พระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ทรงคิดเพียงแค่จะทำอย่างไร ให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่น สงบสุข ไพร่ฟ้าประชาชนอยูดี มีสุข ปลอดภัย
แต่คนตระกูลชิน นายทักษิณ มีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ในอำนาจที่พวกตนได้มา โดยมิได้คำนึงถึงความทุกข์ยาก เดือดร้อนของประชาชน ขอเพียงให้มีอำนาจ จะได้กอบโกย โกงกิน ทุจริต คอรัปชั่น และใช้อำนาจที่ได้มาโดยไม่เลือกวิธี ปกป้องผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องคนตระกูลชิน นายทักษิณจึงกลัวนัก กลัวหนา หากหมดอำนาจ ผลประโยชน์ของตนก็จะถูกยึด ความร่ำรวยของตนก็จะรวยน้อยลง ในขณะที่คนที่สนับสนุนนายทักษิณ ไม่มีจะกิน ต้องฆ่าตัวตาย แต่คนตระกูลชิน นายทักษิณ ก็มิได้ช่วยพวกเขาแม้แต่น้อย กลับดาหน้าออกมา แก้ตัว แก้ต่าง โยนความผิดพลาดให้ผู้อื่น นี่หรือสันดานผู้นำ ที่ปากพร่ำบอกว่ารัก ห่วงพี่น้องคนไทย ต้องการจะช่วยเหลือให้พ้นจากความยากจน หากนายทักษิณ ต้องการจะช่วยจริงๆ เรื่องมันก็มิได้ยาก แค่อยู่เฉยๆ อย่าเข้ามาแสวงหาอำนาจ ปล่อยให้คนไทยเขาดูแลบ้านเมืองนี้ด้วยตัวของเขาเอง แค่นี้ก็ถือว่า นายทักษิณ คนตระกูลชิน ได้ช่วยพี่น้องคนไทยแล้วหล่ะ และหากจะบอกว่า ไม่ได้ หากคนตระกูลชินไม่เข้ามายุ่ง จะไม่เป็นประชาธิปไตย บ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้ ประเทศชาติจะถอยหลังเข้าคลอง คนไทยจะยากจนไม่ก้าวหน้า
ก็ต้องถามนายทักษิณ และคนตระกูลชินว่า อีตอนที่คนตระกูลชิน ยังเป็นวุ้นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ บ้านเมืองนี้อยู่มาได้ยังไง ตอนที่นายทักษิณยังเที่ยวเดินเอาเช็คมาขาย เพื่อเอาเงินมาหมุน คนไทยเขาอยู่มาได้ยังไง อย่าสำคัญตนเองว่ามีประโยชน์ ขนาดนั้น
ฉันอยากจะบอกให้คนตระกูลชินรู้สำนึกไว้ว่า ก่อนที่พวกคุณจะเข้ามามีอำนาจ บ้าอำนาจ คนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเผ่า ทุกภาษา เขารักใคร่ปรองดอง สามัคคี มีน้ำใจให้แก่กันทั้งประเทศ
พอพวกคุณเข้ามามีอำนาจ พวกคุณก็ทำตัวเป็นบ่างช่างยุ ยุให้รำ ตำให้รั่ว ผู้คนทุกหมู่เหล่าแตกแยก เข่นฆ่า ทำร้าย ทำลายกัน นี้คือผลงานชิ้นโบว์แดง ของคนอย่างนายทักษิณ หากจะถามว่าคนตระกูลชิน นายทักษิณ ทำไปทำไม ก็ตอบได้เลยว่า ต้องการทำให้คนไทยแตกแยก สังคมอ่อนแอ ประเทศชาติอ่อนแอ จะได้มีเวลาคดโกง ทุจริต และรวบอำนาจ
พี่น้องไทย ลูกไทย หลายไทย ที่รัก พวกคุณยังไม่รู้สึกเบื่อ เข็ดหลาบ ต่อการกระทำเลวทราม ต่ำช้าของนายทักษิณและพวกอีกหรือ หรือพวกคุณ ไม่มีหัวจิตหัวใจ คุณทนอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร ทำไมปล่อยให้ใครมาจากขุมไหนก็ไม่รู้ มาทำร้ายทำลายความงดงาม ความดีงาม ความมีน้ำจิตน้ำใจ ของลูกไทย หลานไทย ให้เหือดหายไป เหลือไว้แต่ความหิวกระหาย อยากได้ โหดร้าย ไม่รู้บุญคุณแผ่นดิน เลิกอยู่เฉยได้แล้ว เดินดาหน้ากันออกมา เดินออกมาจากบ้าน จากที่พัก จากที่ทำงาน เดินออกมาแสดงพลังปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พระเจ้าอยู่หัว อย่าปล่อยให้ ไอ้ อี ตระกูลใด มันมาบังอาจทำร้าย ทำลาย ความงดงาม ความดีงาม ที่บรรพบุรุษไทยที่สร้างมาไว้อย่างยาวนาน ด้วยเลือดเนื้อ ชีวิต ต้องมาถูกคนอัปรีย์ บ้าอำนาจ ตะกละไม่รู้จักพอ ทำลายลงเพียงแค่ใช้เศษเงินที่โกงมา จัดซื้อ จัดจ้าง ชีวิต วิญญาณ ลูกไทย หลานไทย ที่ไร้เดียงสา ให้มาทำร้ายทำลาย สิ่งที่บรรพบุรุษไทยสร้างสั่งสมมาให้แก่พวกเรา
เดินออกมาแสดงความกตัญญูต่อแผ่นดิน กตัญญูต่อราชวงศ์จักรี อย่าปล่อยให้ พระเจ้าอยู่หัวของเราสู้อยู่แต่ลำพังพระองค์เดียว อย่าทอดทิ้งพระองค์ให้อยู่อย่าง โดดเดี่ยว สู้อย่างเดียวดาย
ลูกไทย หลานไทย เอ้ย เวทีแจ้งวัฒนะ ขอประกาศสู้กับคนเนรคุณแผ่นดิน ทุกวิถีทาง ฉันจะใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่ฉันมี ต่อสู้ รุกไล่ เสนียด***ของแผ่นดินสยาม แม้จะต้องพลีเลือดเนื้อชีวิตก็ตาม
แล้วพี่ไทย ลูกไทย หลานไทย ทั้งหลายหล่ะ พร้อมที่จะก้าวเดินออกมา ต่อสู้ร่วมกันกับฉันแล้วหรือยัง ออกมาเถิด มาแสดงพลังปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และพ่อหลวงของพวกเรา เตรียมตัวให้พร้อมนะพี่น้อง เมื่อถึงเวลา กรีฑาทัพ มวลชนคนรักในหลวง ขอให้ทุกคนรอฟังสัญญาณ เมื่อได้สัญญาณจงพร้อมใจกันเดินหน้า เต็มตัว เต็มใจ แสดงพลังอันยิ่งใหญ่ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตาชาวโลกว่า พวกเราเผ่าไทย รักและเทอดทูนสถาบันยิ่งชีวิต ก้าวเดินออกมาร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าสุดท้าย ที่คนไทยทุกสี ทุกกลุ่ม ที่รักสถาบันต้องมีชัยชนะ ประเทศชาติชนะ พระเจ้าอยู่หัวทรงชนะ คนไทยทุกคนทุกสีมีความสุข
“อย่าปล่อยให้คนเนรคุณมันเหิมเกริม บ้านเมืองแร้นแค้น ประเทศชาติขาดแคลน ผู้คนจะทุกข์ยาก อดอยากล้มตาย พวกคุณจะทนได้กระนั้นหรือ”
เดินหน้าออกมา ร่วมสู้กับฉัน เวทีแจ้งวัฒนะ
พุทธะอิสระ
๑๗ เมษายน ๒๕๕๗