สมมุติว่าถ้าทำอย่างคุณว่า แล้วกำนันสุเทพแพ้เลือกตั้ง จะเอายังไงต่อไปครับ
#51
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:24
#52
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:24
แนะนำครับ ข้องล้างด้านขวามีปุ่มแก้ไขอยู่ครับ อาจจะช่วยในการพูดคุยในทางที่ดีบ้างครับตอบคุณ
Supergreat
ขอบคุณสำหรับความเห็นดีๆครับ
ก่อนอื่นผมต้องขอโทษที่โพสอาจจะทำให้เข้าใจผิด เรื่องที่บอกว่าตอบดีๆ นะโว้ย อะไรทำนองนั้น
แต่ผมก็อยากให้เราคุยกันด้วยเหตุผล คุณเองอยู่ในนี้ก็น่าจะมองเห็น ว่าสิ่งที่ผมพิมพ์ไปนั่น ใช้เรื่องหยาบคาย หรือมาป่วนหรือไม่ ผมก็แค่เห็นต่าง และเสนอความคิด ไม่ได้มีการหยาบคาย เพราะผมคิดว่าเราอยู่ใน ระบอบประชาธิปไตยครับ
ยังไงก็ขอขอบคุณอีกทีครับ
ส่วนเรื่องเหตุผล คุณคงเข้าใจfirst impressionครับ คือคุณเปิดตัวมาขนาดนี้ถ้ามีคนตอบดีๆผมว่าก็แปลกครับ
ส่วนเรื่องเห็นต่างผมว่าเป็นเรื่องปกติครับ แต่ผมอยากให้ลองสังเกตดูครับว่าหมู่บ้านนี้เป็นอย่างไรบ้าง เรื่องป่วนนี่มีกันวันนึงเป็นสิบและช่วงนี้ยิ่งเยอะเป็นพิเศษ ถ้าคุณทำความเข้าใจกับมันได้ผมเชื่อว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการครับ
ปล.สิ่งสำคัญ ถ้าคุณอยากให้ทุกคนเปิดใจ คุณก็ควรเปิดใจด้วยนะครับ
#54
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:28
ขอถามเพื่อแลกเปลี่ยน ความรู้กับ จขกท บ้างได้ไหม
1. คุณคิดว่า นักการเมืองในบ้านเราโกงกินประเทศไหม
2. คุณคิดว่า ตำรวจในบ้านเรา ใช้อำนาจข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ และทำตัวเป็นโจรเสียเอง ไหม
3. คุณคิดว่า ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน นับวันจะยิ่งมีความแตกต่างกันมากขึ้น ไหม
4. คุณคิดว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ จะแก้ปัญหาข้อ 1 - 3 ได้ไหม
และสุดท้าย
" คุณว่า ถึงเวลาหรือยังที่บ้านเมืองเราต้องมีการปฏฺิรูป "
- พ่อไอ้ร้อยล็อคอิน, whiskypeak, barfbag and 1 other like this
#55
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:28
ตอบคุณ
ควันหลง
ต้องมองที่ประเด็น คือ
เสียงส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวทางของ กปปส หรือไม่
ถ้าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย อย่างที่มีการกล่าวอ้างใน bluesky ว่ามีมหาศาล มากกว่า 30 ล้านคนนั้น ยังไงก็ชนะครับ
ถ้าแพ้ ก็แปลว่า ที่กล่าวอ้างมานั้น มันเกินเลย เกินไป ส่วนใหญ่ของประเทศ เค้าไม่ได้เอาแนวทางนั้น
ถ้าเรายังคิดว่าเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเราไม่ฟังส่วนใหญ่ของประเทศ เราจะฟังอะไรหล่ะครับ
#56
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:30
ตอบคุณ
JSN
ที่คุณส่งมามันถูกแบนไปแล้วครับ
แต่ผมเอาไปเช็ค แคช กับกุเกิลแล้ว อันนี้ผมเคยดูแล้วครับ เป็นเรื่องการจัดการนั้น ที่มีตัวอักษรวิ่งด้านล่าง ยังมีคลิบนี้อยู่ใน youtube แต่ว่าคนละคนโพสไว้
ไม่มีการกล่าวถึงสองคำนี้ครับ
มีกลับไปดูไหม แต่ 3 time ไม่มี
ตอบคุณ
ควันหลง
ต้องมองที่ประเด็น คือ
เสียงส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวทางของ กปปส หรือไม่
ถ้าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย อย่างที่มีการกล่าวอ้างใน bluesky ว่ามีมหาศาล มากกว่า 30 ล้านคนนั้น ยังไงก็ชนะครับ
ถ้าแพ้ ก็แปลว่า ที่กล่าวอ้างมานั้น มันเกินเลย เกินไป ส่วนใหญ่ของประเทศ เค้าไม่ได้เอาแนวทางนั้น
ถ้าเรายังคิดว่าเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเราไม่ฟังส่วนใหญ่ของประเทศ เราจะฟังอะไรหล่ะครับ
แสดงว่าต้องก้มหัวยอมรับทักษิณต่อไปใช่ป่ะ
Edited by ควันหลง, 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:35.
#57
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:30
ตอบคุณ
JSN
ที่คุณส่งมามันถูกแบนไปแล้วครับ
แต่ผมเอาไปเช็ค แคช กับกุเกิลแล้ว อันนี้ผมเคยดูแล้วครับ เป็นเรื่องการจัดการนั้น ที่มีตัวอักษรวิ่งด้านล่าง ยังมีคลิบนี้อยู่ใน youtube แต่ว่าคนละคนโพสไว้
ไม่มีการกล่าวถึงสองคำนี้ครับ
ทราบครับ ยกมาให้ชมเฉยๆ เผื่อจะตัดสินใจอะไรได้บ้าง
#58
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:31
เจตนารมณ์ของ กปปส และมวลชน คือ ปฏิรูป..
โดยไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
เลขาธิการ กปปส และแกนนำที่เป็นนักการเมือง แสดงความจริงใจ ด้วยการลาออกจาก สส
แล้วจะให้เค้าไปตั้งพรรค..เพื่อ?
(จำนวนที่แสดง..แค่บอกว่า มีคนอีกจำนวนมาก "เห็นด้วย" และเรียกร้อง ให้รัฐบาลรักษาการแสดงความจริงใจ เรื่องการปฏิรูป ด้วย การลาออกจากรักษาการ)
ปล. กปปส ประกาศบนเวที เป็นสัญญาประชาคม ว่าคณะปฏิรูป จะต้องไม่เข้าไปเล่นการเมืองหลังปฏิรูป
ปล. 2 ด้านล่างขวามือ มีปุ่ม "อ้างถึง"(Quote) อยู่อ่ะครับ ยกแต่ชื่อมาตอบ..อ่านแล้วงงอ่ะครับ..ไม่รู้ตอบคำถามอันไหน..
Edited by whiskypeak, 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:35.
- asawinee likes this
ถูกใจเสื้อแดง ของแพงไม่ว่า โดนโกงไม่ด่า ขอแค่ตระกูลชินนรกเป็น นายก พอ..
#59
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:35
ผมได้ดูช่องบลูสกาย
กำนันสุเทพผู้มีความชื่อถือ
ประกาศว่ามีคนมาร่วมชุมนุมประมาณ 5 ล้านขึ้นไป และมีคนที่เห็นด้วยที่อยู่บ้านแต่ไม่ได้ออกมาอีก 30 ล้านคนที่เห็นด้วย
ดังนั้นชัดเจนว่า คนที่เห็นด้วยกับการปฎิรูปในแบบของคุณสุเทพ มีคนสนับสนุนอย่างน้อย 35 ล้านคนขึ้นไป
ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณสุเทพไม่ตั้งพรรค หมู่มวลมหาประชาชนขึ้นมา เอาคนต่างๆ ที่คุณต้องการเอามาอยู่ในสภาประชาชนมาเป็นสมาชิก แล้วลงเลือกตั้งเพื่อให้ได้ความชอบธรรม แล้วหลังจากนั้นจะปฎิรูปอะไรก็ทำกันไป
จะอ้างว่ามีการซื้อเสียง แต่ในเมื่อมีคนสนับสนุนมากกว่า 35 ล้านคนขึ้นไป คราวที่แล้วเพื่อไทยชนะก็แค่ 15 ล้านเสียง ยังไงก็ชนะขาดลอยอยู่แล้ว
หรือว่า 35 ล้านเสียงแค่เรื่องโกหก?
ปล. ผมไม่ใช่ควายแดงนะครับ ไม่ชอบไอ้ทักษิณด้วย แต่จะตั้งสภาประชาชน ผมก็ประชาชนคนนึง ถามผมรึยัง
ปล2. ผมจบปริญญาแล้วครับ
ปล3. ขอคำตอบที่มีเหตุผลสร้างสรรค์นะครับ ให้สมกับที่เรียกตัวเองว่า คนที่มีความรู้ ฉลาด คนดี ไม่ใช้ความรุนแรง
คุณดูบลูสกาย คุณไม่ได้ยินที่สุเทพพูดเหรอว่า สุเทพเลิกเล่นการเมือง และไม่ลงเลือกตั้งแล้ว
ถ้าคุณได้ดูจริงๆ คำถามนี้คงจะไม่เกิดขึ้นเรื่องการตั้งพรรคการเมือง
- Abraxas, แม่รำพึง and SoloWingBank like this
#60
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:38
จะลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยตัวเอง คงเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
ในฐานะของประชาชนธรรมดาของคุณสุเทพ
ย่อมมีสิทธิเรียกร้องในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก
ที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่าประชาชนคนอื่นๆ จะเห็นด้วยหรือไม่
หลายครั้งของการชุมนุม ก็พิสูจน์ไปบ้างกลายๆ
เสื้อแดงก็มีโอกาสพิสูจน์ความต้องการของประชาชน
ไม่ต่างกับคุณสุเทพนี่ครับ
ไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป แสดงตัวกันออกมา
ผมพูดถึงการใช้สิทธิ์แสดงตัวสนับสนุนแนวคิดนะครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่คุณสุเทพบัญญัติ
เว้นแต่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
หรือไม่ก็เพื่อไทยทำลายตัวเอง
คุณล่ะ นอกจากกระทู้นี้แล้ว
เคยพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องในใจคุณหรือยัง
ถ้ายัง ผมแนะนำให้ทำครับ
ไม่แน่ ประชาชนเกินกว่า 10 ล้านคนอาจเห็นด้วยกับคุณ
ลองทำดูสิครับ
- Abraxas, sorrow, แสนคำนึง นลินกุลเศฐ and 1 other like this
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#61
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:39
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ
4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมด
แต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของผมนะครับ ผมว่าผมเชื่อไม่เหมือนคนอื่นๆได้ เพราะนี้คือประชาธิปไตย
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับ
#62
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:39
#63
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:42
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#64
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:46
เจตนารมณ์ของ กปปส และมวลชน คือ ปฏิรูป..
โดยไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
เลขาธิการ กปปส และแกนนำที่เป็นนักการเมือง แสดงความจริงใจ ด้วยการลาออกจาก สส
แล้วจะให้เค้าไปตั้งพรรค..เพื่อ?
(จำนวนที่แสดง..แค่บอกว่า มีคนอีกจำนวนมาก "เห็นด้วย" และเรียกร้อง ให้รัฐบาลรักษาการแสดงความจริงใจ เรื่องการปฏิรูป ด้วย การลาออกจากรักษาการ)
ปล. กปปส ประกาศบนเวที เป็นสัญญาประชาคม ว่าคณะปฏิรูป จะต้องไม่เข้าไปเล่นการเมืองหลังปฏิรูป
ปล. 2 ด้านล่างขวามือ มีปุ่ม "อ้างถึง"(Quote) อยู่อ่ะครับ ยกแต่ชื่อมาตอบ..อ่านแล้วงงอ่ะครับ..ไม่รู้ตอบคำถามอันไหน..
ขอบคุณสำหรับเรื่อง อ้างถึงนะครับ ผมไม่ทราบ ขอบคุณครับ
ผมขอบอกตามตรงนะครับ ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เรื่องที่คุณสุเทพพูด เพราะมันก็เคยมีเหตุการณ์ที่ท่านพูดแล้ว ก็เปลี่ยนไป
และผมก็มีเหตุผลอื่นที่จะไม่เชื่อด้วย เนื่องจากไม่มีอะไร การันตีครับ ว่าไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ คนที่จะมาเป็น กปปส ผมก็เชื่อว่าท่านคงไม่เอาพวกนักวิชาการที่เห็นต่าง ซึ่งบางครั้งท่านผลัดให้ไปเป็นเสื้อแดง เข้ามาแน่นอน
แล้วผมก็ยังเชื่อครับ ว่าแกนนำ กปปส หลายๆ คนที่มาจากพรรคประชาธิปปัตย์ ก็จะกลับไป เมื่อทุกอย่างสงบ เช่น คุณ สาทิต หรือคุณถาวร หรืออีกหลายๆคน
#65
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:48
มีโจร 10 คนขึ้นปล้นบ้านคุณ คุณจะทำอย่างไร
ถ้าโจร 10 คนนั้นจะทำมิดีมิร้ายกับภรรยาคุณ คุณจะทำอย่างไร
10 ต่อ 2 เขาเป็นเสียงข้างมากนะครับ
บอกภรรยาว่า ให้ยินดีไปตามหลักประชาธิปไตย
หรือคุณจะต่อสู้กับโจร 10 คนนั้น
เพื่อป้องกันภัยให้ภรรยาครับ
อย่าลืมว่า ประชาธิปไตยโดยเสียงข้างมาก
ไม่ได้อ้างอิงไปได้ทุกกรณีนะครับ
หากต้องควบคุมด้วยกฏหมาย และละเมิดไม่ได้
- แสนคำนึง นลินกุลเศฐ likes this
ข อ ใ ห้ โ ช ค ดี ต่ อ ค ว า ม เ ชื่ อ ค รั บ
เราอยู่ด้วยกัน ยืนข้างกัน เดินไปด้วยกัน ด้วยเพราะเรามีมุมมองและเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน
จนกว่าจะถึงวันที่เราพบว่า เรามีจุดหมายปลายทางคนละตำแหน่งกัน
#66
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:51
ศาลตัดสิน สปก ว่ายังไงครับ
ท่านลองค้นดูก่อนละกันครับ
ถ้าจบปริญญามาก็น่าจะรู้จักหาข้อมูลมาก่อน และคิดตาม ไม่ใช่มาถามหาคำตอบสำเร็จรูป
ลูกผมอยู่ ป.3 จะถามอะไรยังหาข้อมูลมาก่อนเลย
อันนี้คือสิ่งที่บางคนในนี้ตอบไว้ ผมทราบว่าไม่สมควร ต้องขอโทษด้วยนะครับ แค่อยากจะยกไว้ให้ดู
#67
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:53
สมมุติ คุณอยู่บ้านกับภรรยา 2 คน
มีโจร 10 คนขึ้นปล้นบ้านคุณ คุณจะทำอย่างไร
ถ้าโจร 10 คนนั้นจะทำมิดีมิร้ายกับภรรยาคุณ คุณจะทำอย่างไร
10 ต่อ 2 เขาเป็นเสียงข้างมากนะครับ
บอกภรรยาว่า ให้ยินดีไปตามหลักประชาธิปไตย
หรือคุณจะต่อสู้กับโจร 10 คนนั้น
เพื่อป้องกันภัยให้ภรรยาครับ
อย่าลืมว่า ประชาธิปไตยโดยเสียงข้างมาก
ไม่ได้อ้างอิงไปได้ทุกกรณีนะครับ
หากต้องควบคุมด้วยกฏหมาย และละเมิดไม่ได้
เป็นตรรกกะแปลกๆ ครับ
เสียงข้างมาก ไม่ได้หมายถึงจะทำร้ายใครก็ได้ จะฝ่าฝืนกฏหมายยังไงก็ได้
แล้วที่ท่านบอกว่าต้องควบคุมด้วยกฎหมาย สิ่งที่ กปปส ทำนี่ทั้งหมดควบคุมด้วยกฎหมาย ไม่มีการผิดกฎหมายเลย ไม่ละเมิดกฎหมาย และ สิทธิของคนอื่นๆเลยหรอครับ
#68
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:54
ไม่เคยมีใครปฏิเสธนะครับว่าปชป.ไม่โกง แต่เมื่อเป็นคดีเขาก็ต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ออกมาโวยวายด่าศาลนะครับ คนที่เขาออกมาหนุนสเทพใช่ว่าเขาจะไม่รู้ แต่สุเทพเคยลั่นวาจาไว้และรักษาคำพูด เช่นไม่เอาพรบ.นิรโทษกรรม จะออกมาต่อต้านเมื่อพรบ.นิรโทษผ่านสามวาระรวด แต่อันเขาออกมาก่อน คนจึงออกมากัน เพราะยอมไม่ได้กับพรบ.นิรโทษกรรม เรื่องที่คุณไม่เชื่อเป็นสิทธิของคุณครับ ผมมีสิทธิหวัง ทุกคนมีสิทธิหวังครับ เมื่อความอดทนมันหมด และยิ่งถูกบีบ จะยิ่งเพิ่มเชื้อไฟอีกครับ ถ้าเรื่องสุเทพผิดคำพูดก็คงจะเป็นกำหนดเส้นตายครับผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ
4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมด
แต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของผมนะครับ ผมว่าผมเชื่อไม่เหมือนคนอื่นๆได้ เพราะนี้คือประชาธิปไตย
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับ
เรื่องแนวคิดมีแพลมออกมาบ้างแล้วแต่ยังไม่หมด ไม่งั้นจะกลายเป็นสภาสุเทพไปนะครับ ตอนนี้ทุกคนมองถึงเรื่องรัฐกบฏลาออกให้ได้ก่อน
Edited by JSN, 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:02.
- Abraxas and whiskypeak like this
#69
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:57
คุณโทนี่(อ้วน) โดนไป 1 ดอกแล้ว
คงแค้นกันมานาน คนอื่นไม่เห็นโดน...ฮาฮ่า
#70
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 01:58
คนธรรมดาคนนึง
จะลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยตัวเอง คงเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
ในฐานะของประชาชนธรรมดาของคุณสุเทพ
ย่อมมีสิทธิเรียกร้องในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก
ที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่าประชาชนคนอื่นๆ จะเห็นด้วยหรือไม่
หลายครั้งของการชุมนุม ก็พิสูจน์ไปบ้างกลายๆ
เสื้อแดงก็มีโอกาสพิสูจน์ความต้องการของประชาชน
ไม่ต่างกับคุณสุเทพนี่ครับ
ไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป แสดงตัวกันออกมา
ผมพูดถึงการใช้สิทธิ์แสดงตัวสนับสนุนแนวคิดนะครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่คุณสุเทพบัญญัติ
เว้นแต่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
หรือไม่ก็เพื่อไทยทำลายตัวเอง
คุณล่ะ นอกจากกระทู้นี้แล้ว
เคยพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องในใจคุณหรือยัง
ถ้ายัง ผมแนะนำให้ทำครับ
ไม่แน่ ประชาชนเกินกว่า 10 ล้านคนอาจเห็นด้วยกับคุณ
ลองทำดูสิครับ
ก็ผมก็ไม่เลือกตั้งไงครับ ใครโกงใครเลว ใครชั่ว ผมก็ไม่เลือก
ส่วนจะสิบล้านหรือ หนึ่งล้านก็ไม่เป็นไรครับ
ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ผมคิด กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดมันไม่เหมือนกัน
แล้วสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกสี่ปีนี้ก็ถูกต้อง ไม่เดือนร้อนใคร ไม่ผิดกฎหมาย
แล้วคุณบอกให้อีกฝั่งออกมาบ้าง ถ้าอีกฝั่งออกมา ก็มีพวกๆของคุณนั้นแหละครับ มากล่าวว่าจะออกมาทำไม จ้างมา โง่ ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ อะไรทำนองนี้
ดังนั้นคุณขะเรียกร้อยให้อีกฝ่ายออกมา โดยเมื่อเค้าออกมาก็ตามด่าเค้าเนี่ยหรอครับ
แล้วผมก็ใช้สิทธิของผม ตลอดอยู่แล้วครับ แล้วก็ไม่เคยขายเสียงด้วยครับ
#71
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:00
ขอนอกเรื่อง..
คุณโทนี่(อ้วน) โดนไป 1 ดอกแล้ว
คงแค้นกันมานาน คนอื่นไม่เห็นโดน...ฮาฮ่า
โทนี่อ้วน คือ tonythebest
รึปล่าวครับ
ผมขอโทษนะครับ ไม่ได้มีเจตนาจะว่า แค่อยากให้คุณเห็นว่าคำพูดเหล่านี้ เป็นคำพูดแรกๆ ที่ปรากฎในกระทู้ของผม ไม่เชื่อลองย้อนกลับไปดูครับ
#72
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:05
แนะนำไปหาหลักฐานที่กระทู้นี่้ครับ "ใช้โจรไล่โจรมันดีหรือ" โดย คนกทม.
เจ้าของกระทู้เอามาแปะไว้ แต่ยังไม่ได้บอกว่าสุเทพโกงยังไง แต่ขอตัวไปนอนก่อน ฮาฮ่า
#73
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:06
เจตนารมณ์ของ กปปส และมวลชน คือ ปฏิรูป..
โดยไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
เลขาธิการ กปปส และแกนนำที่เป็นนักการเมือง แสดงความจริงใจ ด้วยการลาออกจาก สส
แล้วจะให้เค้าไปตั้งพรรค..เพื่อ?
(จำนวนที่แสดง..แค่บอกว่า มีคนอีกจำนวนมาก "เห็นด้วย" และเรียกร้อง ให้รัฐบาลรักษาการแสดงความจริงใจ เรื่องการปฏิรูป ด้วย การลาออกจากรักษาการ)
ปล. กปปส ประกาศบนเวที เป็นสัญญาประชาคม ว่าคณะปฏิรูป จะต้องไม่เข้าไปเล่นการเมืองหลังปฏิรูป
ปล. 2 ด้านล่างขวามือ มีปุ่ม "อ้างถึง"(Quote) อยู่อ่ะครับ ยกแต่ชื่อมาตอบ..อ่านแล้วงงอ่ะครับ..ไม่รู้ตอบคำถามอันไหน..
ขอบคุณสำหรับเรื่อง อ้างถึงนะครับ ผมไม่ทราบ ขอบคุณครับ
ผมขอบอกตามตรงนะครับ ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เรื่องที่คุณสุเทพพูด เพราะมันก็เคยมีเหตุการณ์ที่ท่านพูดแล้ว ก็เปลี่ยนไป
และผมก็มีเหตุผลอื่นที่จะไม่เชื่อด้วย เนื่องจากไม่มีอะไร การันตีครับ ว่าไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ คนที่จะมาเป็น กปปส ผมก็เชื่อว่าท่านคงไม่เอาพวกนักวิชาการที่เห็นต่าง ซึ่งบางครั้งท่านผลัดให้ไปเป็นเสื้อแดง เข้ามาแน่นอน
แล้วผมก็ยังเชื่อครับ ว่าแกนนำ กปปส หลายๆ คนที่มาจากพรรคประชาธิปปัตย์ ก็จะกลับไป เมื่อทุกอย่างสงบ เช่น คุณ สาทิต หรือคุณถาวร หรืออีกหลายๆคน
ผมถึงบอกไงว่าขอให้โชคดีกับความเชื่อของคุณ
คุณเชื่อว่าสุเทพจะไม่ทำตามที่พูด คุณเชื่อว่า กกปส. เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์
เมื่อคุณเชื่อแบบนี้คุณจะมาคำตอบเหตุผลอะไรมันก็เปล่าประโยชน์
เพราะไม่ว่าอย่างไรซะคุณก็ไม่เชื่ออยู่ดี ผมพูดถูกมั้ยครับ
- Abraxas, asawinee, แสนคำนึง นลินกุลเศฐ and 1 other like this
#74
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:08
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของผมนะครับ ผมว่าผมเชื่อไม่เหมือนคนอื่นๆได้ เพราะนี้คือประชาธิปไตย
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับ
เจ้าของกระทู้นอนดึกดีนะครับ
ผมไปหาแล้ว ไม่เจอคำพิพากษาหรือข้อมูลเกี่ยวกับคำตัดสินว่า สุเทพ และ ปชป โกงเลยเกี่ยวกับคดี สปก
รบกวนเจา้ของกระทู้ช่วยชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้ไหมครับ
- ตุ๊ ต่องแต่ง likes this
#75
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:12
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับ
นปช ตอนที่บูมๆ นี่มันเกิดจาก แนวความคิดเรื่อง อำมาตย์ กับ ไพร่
ซึ่งแนวคิดนี้ แปลความหมายได้ว่า เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม เกิดการปฏิบัติซึ่งเป็น 2 มาตรฐาน
ข้อนี้ผมเถียงไม่ออก เพราะคนรวยติดคุกยาก กว่า คนจนจริงๆ
ผมไม่ได้เกลียด นปช ทั้งหมด นปช บางส่วน ผมขอเรียกว่า แดงอุดมการณ์นะครับ ซึ่งผมเห็นด้วยกับแดงกลุ่มนี้นะ
ตอบ
หากแดงกลุ่มนี้จะปฏิรูปประเทศ ผมก็เห็นด้วยแน่นอน
#76
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:12
คุณคิดว่าการที่ไม่ไปเลือกตั้งคือสิ่งที่ดีที่สุดหรือครับ ผมกลับคิดว่าเราควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่า แล้วประชาธิปไตยก็มิได้หมายความว่าเสียงส่วนน้อยจะต้องยอมรับเสียงส่วนมากทุกเรื่องนะครับก็ผมก็ไม่เลือกตั้งไงครับ ใครโกงใครเลว ใครชั่ว ผมก็ไม่เลือกคนธรรมดาคนนึง
จะลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยตัวเอง คงเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
ในฐานะของประชาชนธรรมดาของคุณสุเทพ
ย่อมมีสิทธิเรียกร้องในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก
ที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่าประชาชนคนอื่นๆ จะเห็นด้วยหรือไม่
หลายครั้งของการชุมนุม ก็พิสูจน์ไปบ้างกลายๆ
เสื้อแดงก็มีโอกาสพิสูจน์ความต้องการของประชาชน
ไม่ต่างกับคุณสุเทพนี่ครับ
ไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป แสดงตัวกันออกมา
ผมพูดถึงการใช้สิทธิ์แสดงตัวสนับสนุนแนวคิดนะครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่คุณสุเทพบัญญัติ
เว้นแต่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
หรือไม่ก็เพื่อไทยทำลายตัวเอง
คุณล่ะ นอกจากกระทู้นี้แล้ว
เคยพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องในใจคุณหรือยัง
ถ้ายัง ผมแนะนำให้ทำครับ
ไม่แน่ ประชาชนเกินกว่า 10 ล้านคนอาจเห็นด้วยกับคุณ
ลองทำดูสิครับ
ส่วนจะสิบล้านหรือ หนึ่งล้านก็ไม่เป็นไรครับ
ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ผมคิด กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดมันไม่เหมือนกัน
แล้วสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกสี่ปีนี้ก็ถูกต้อง ไม่เดือนร้อนใคร ไม่ผิดกฎหมาย
แล้วคุณบอกให้อีกฝั่งออกมาบ้าง ถ้าอีกฝั่งออกมา ก็มีพวกๆของคุณนั้นแหละครับ มากล่าวว่าจะออกมาทำไม จ้างมา โง่ ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ อะไรทำนองนี้
ดังนั้นคุณขะเรียกร้อยให้อีกฝ่ายออกมา โดยเมื่อเค้าออกมาก็ตามด่าเค้าเนี่ยหรอครับ
แล้วผมก็ใช้สิทธิของผม ตลอดอยู่แล้วครับ แล้วก็ไม่เคยขายเสียงด้วยครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าคุณอย่าคิดไปเองครับว่าผู้ชุมนุมโดยมากออกมาเพราะเชื่อถือสุเทพ เพียงแต่ทุกคนมีแนวคิดเดียวกันคือกำจัดระบอบทักษิณ ส่วนถ้าหลังปฏิรูปมีมวลชนออกมาประท้วงและมีเหตุผลอันควร ผมยังเชื่อว่าคนที่ออกไปรอบนี้ก็พร้อมจะสมทบครับ
แต่ข้ออ้างต้องมีเหตุผลและมีหลักฐานนะครับอย่างสั่งฆ่าประชาชน สปก หนีทหาร อย่างนี้ไม่เอานะครับ
#77
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:12
อีกนิดนึง ผมจำได้ว่าเรื่องคดีต่างๆ ของปชป. เช่น สปก หรือ ปรส เนี่ย
ในนี้เขาพิสูจน์กันไปหลายรอบแล้วนะ ลองไปค้นๆ ดูครับ
#78
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:14
เจตนารมณ์ของ กปปส และมวลชน คือ ปฏิรูป..
โดยไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
เลขาธิการ กปปส และแกนนำที่เป็นนักการเมือง แสดงความจริงใจ ด้วยการลาออกจาก สส
แล้วจะให้เค้าไปตั้งพรรค..เพื่อ?
(จำนวนที่แสดง..แค่บอกว่า มีคนอีกจำนวนมาก "เห็นด้วย" และเรียกร้อง ให้รัฐบาลรักษาการแสดงความจริงใจ เรื่องการปฏิรูป ด้วย การลาออกจากรักษาการ)
ปล. กปปส ประกาศบนเวที เป็นสัญญาประชาคม ว่าคณะปฏิรูป จะต้องไม่เข้าไปเล่นการเมืองหลังปฏิรูป
ปล. 2 ด้านล่างขวามือ มีปุ่ม "อ้างถึง"(Quote) อยู่อ่ะครับ ยกแต่ชื่อมาตอบ..อ่านแล้วงงอ่ะครับ..ไม่รู้ตอบคำถามอันไหน..
ขอบคุณสำหรับเรื่อง อ้างถึงนะครับ ผมไม่ทราบ ขอบคุณครับ
ผมขอบอกตามตรงนะครับ ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เรื่องที่คุณสุเทพพูด เพราะมันก็เคยมีเหตุการณ์ที่ท่านพูดแล้ว ก็เปลี่ยนไป
และผมก็มีเหตุผลอื่นที่จะไม่เชื่อด้วย เนื่องจากไม่มีอะไร การันตีครับ ว่าไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ คนที่จะมาเป็น กปปส ผมก็เชื่อว่าท่านคงไม่เอาพวกนักวิชาการที่เห็นต่าง ซึ่งบางครั้งท่านผลัดให้ไปเป็นเสื้อแดง เข้ามาแน่นอน
แล้วผมก็ยังเชื่อครับ ว่าแกนนำ กปปส หลายๆ คนที่มาจากพรรคประชาธิปปัตย์ ก็จะกลับไป เมื่อทุกอย่างสงบ เช่น คุณ สาทิต หรือคุณถาวร หรืออีกหลายๆคน
ผมถึงบอกไงว่าขอให้โชคดีกับความเชื่อของคุณ
คุณเชื่อว่าสุเทพจะไม่ทำตามที่พูด คุณเชื่อว่า กกปส. เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์
เมื่อคุณเชื่อแบบนี้คุณจะมาคำตอบเหตุผลอะไรมันก็เปล่าประโยชน์
เพราะไม่ว่าอย่างไรซะคุณก็ไม่เชื่ออยู่ดี ผมพูดถูกมั้ยครับ
ไม่ถูกครับ
ถ้าคุณสุเทพ เปลี่ยนจาก กปปส เป็นคนเลือกคนที่จะมาเป็นสภาประชาชน เป็นให้คนอื่นเลือก
เช่น
ให้เพื่อไทยเลือก 100 ปชป เลือก 100 นักวิชาการ และสาขาอาชีพอีกซัก 200 แล้วหานายกที่เป็นกลางจริงๆ (ซึ่งตอนนี้คุณสุเทพก็ยังไมไ่ด้บอก ว่านายกเป็นใคร จะหายังไง) อาจจะขอทูลเกล้า หรืออะไรก็ได้ อันนี้ผมก็เห็นด้วย เต็มที่ครับ
หรือจะ ประชามติก่อน ว่าเอาสภาประชาชนไหม ถ้าคนส่วนใหญ่เอา ผมก็ตามนั้นครับ
ส่วนที่ว่าถ้าจะไม่เปลี่ยนอะไรเลย แล้วจะให้ผมเห็นด้วยนี่ผมมองไม่ออกครับ
คนคิดว่าที่นี่เป็นที่แลกเปลี่ยนมุมมอง ไม่ใช่ที่ ที่ผมเข้ามาแล้วจะเปลี่ยนไปเห็นด้วยกับคนอื่นๆเสียหมด
ผมชอบแลกเปลี่ยนกับคนอื่นๆ เรื่องโกง หรืออะไรบางอย่างที่ไม่เคยรู้ ถ้าคุยแต่กับคนที่คิดเหมือนกัน ก็ไม่เคยรู้ มันเหมือนเป็นการเปิดโลกตัวเองมากกว่าครับ อะไรที่มีหลักฐาน อะไรที่ถูก ผมก็ยอมรับ แต่คงไม่จำเป็นมั้งครับ ว่าผมเข้ามาแลกเปลี่ยนแล้วผมจะต้องเปลี่ยนความคิดไปเป็นเหมือนพวกคุณ
#79
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:16
เป็นตรรกกะแปลกๆ ครับสมมุติ คุณอยู่บ้านกับภรรยา 2 คน
มีโจร 10 คนขึ้นปล้นบ้านคุณ คุณจะทำอย่างไร
ถ้าโจร 10 คนนั้นจะทำมิดีมิร้ายกับภรรยาคุณ คุณจะทำอย่างไร
10 ต่อ 2 เขาเป็นเสียงข้างมากนะครับ
บอกภรรยาว่า ให้ยินดีไปตามหลักประชาธิปไตย
หรือคุณจะต่อสู้กับโจร 10 คนนั้น
เพื่อป้องกันภัยให้ภรรยาครับ
อย่าลืมว่า ประชาธิปไตยโดยเสียงข้างมาก
ไม่ได้อ้างอิงไปได้ทุกกรณีนะครับ
หากต้องควบคุมด้วยกฏหมาย และละเมิดไม่ได้
เสียงข้างมาก ไม่ได้หมายถึงจะทำร้ายใครก็ได้ จะฝ่าฝืนกฏหมายยังไงก็ได้
แล้วที่ท่านบอกว่าต้องควบคุมด้วยกฎหมาย สิ่งที่ กปปส ทำนี่ทั้งหมดควบคุมด้วยกฎหมาย ไม่มีการผิดกฎหมายเลย ไม่ละเมิดกฎหมาย และ สิทธิของคนอื่นๆเลยหรอครับ
สิ่งที่กปปส.ทำก็ใช่ว่าจะๆม่ผิดกฎหมายนะครับ แต่คนที่กล้าทำแบบนี้เขาต้องเตรียมใจเรียบร้อยแล้วครับ ศึกษาข้อกฎหมายมาแล้ว และผมว่าเป็นเสียสละมากกว่านะครับ ใครบ้างอยากนอนตากลม ตากฝน กินนอนข้างถนน ผมก็ได้รับผลกระทบ แต่ผมยอม และผมไปชุมนุมด้วยครับ เพราะผมถือว่าเขามาเรียกร้องแทนเรา ผมมองปัญหาใหญ่ตอนนี้ถ้าไม่ทำอะไร คนชั่วจะยิ่งได้ใจ ถ้าผมไปชุมนุมแล้วนั่งเฉยๆ ผมจะไปทำไมครับ เพราะในเมื่อรัฐกบฏก็ไม่ฟังเสียงส่วนน้อย มันไม่มีผลอะไรเลยครับมาตรการกดดันมันต้องมีบ้างถึงจะเห็นผลครับ
- Abraxas likes this
#80
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:23
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของผมนะครับ ผมว่าผมเชื่อไม่เหมือนคนอื่นๆได้ เพราะนี้คือประชาธิปไตย
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับเจ้าของกระทู้นอนดึกดีนะครับ
ผมไปหาแล้ว ไม่เจอคำพิพากษาหรือข้อมูลเกี่ยวกับคำตัดสินว่า สุเทพ และ ปชป โกงเลยเกี่ยวกับคดี สปก
รบกวนเจา้ของกระทู้ช่วยชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้ไหมครับ
“...การจะได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ได้มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 วรรคหนึ่งว่า ให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และวรรคสองบัญญัติว่า การแจ้งการครอบครองตามความในมาตรานี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งแต่ประการใดและประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 3 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในกรณีต่อไปนี้ (1) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามบทกฎหมายก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับหรือได้มาซึ่งโฉนดที่ดินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (2) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่นและมาตรา 4 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองตลอดถึงผู้รับโอนด้วย จากบทบัญญัติ 3 มาตราดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองโดยชอบจะต้องเป็นการได้มาหรือครอบครองโดยชอบก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 หรือได้มาโดยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่น แต่ผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คน อ้างว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทในปี 2498 อันเป็นเวลาภายหลังพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวประกาศใช้แล้ว และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ครอบครองที่ดินโดยชอบตามบทกฎหมายใด ดังนั้น การครอบครองของผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คนดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองเดิมก่อนขายให้แก่จำเลย และตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 บัญญัติว่า ที่ดินที่มิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นของรัฐ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงต้องถือว่าเป็นที่ดินของรัฐอยู่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าปี 2516 ทางราชการโดยกรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่บริเวณที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด และเจ้าของเดิมทั้ง 6 คน ให้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิดไว้แล้ว ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 ซึ่งกรมป่าไม้จะต้องกันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 เป็นกรณีที่เมื่อมีบุคคลใดอ้างว่ามีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ บุคคลนั้นก็สามารถยื่นคำร้องโดยอ้างในคำร้องว่า ตนเป็นผู้มีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับเท่านั้น และเมื่อได้ยื่นคำร้องดังกล่าวแล้วผลของการยื่นคำร้องจะเป็นไปตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 คือ เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติได้รับคำร้องตามมาตรา 12 แล้ว ให้สอบสวนตามคำร้องนั้น ถ้าปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์อย่างใด ๆ ก็ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้ตามที่เห็นสมควร หาทำให้ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อย่างใดไม่ เป็นเพียงทำให้ผู้ร้องมีสิทธิได้ค่าทดแทนในกรณีหากปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเท่านั้นซึ่งตามมาตรา 12 มีข้อยกเว้นอยู่ในวรรคสามว่า การยื่นคำร้องดังกล่าวมิให้ใช้บังคับแก่กรณีสิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งก็หมายความว่า หากผู้ร้องเป็นผู้ที่มีสิทธิครอบครองในที่ดินหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องภายในกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้นใช้บังคับ ดังนั้น ตามฎีกาของจำเลยที่อ้างว่า ผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คน ได้ยื่นคำร้องตามมาตรา 12 ดังกล่าวแล้วนั้น และคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเป็นผลให้กรมป่าไม้จะต้องดำเนินการกันที่ดินพิพาทที่มีการคัดค้านดังกล่าวออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ประกาศขึ้นภายหลังจึงเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน การที่คณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงความเห็นของคณะอนุกรรมการเท่านั้นหามีผลตามกฎหมายในอันที่กรมป่าไม้จะต้องปฏิบัติตามเนื่องจากความเห็นของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะต้องเสนอให้คณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติพิจารณาก่อน เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติยังไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าว จึงหามีผลผูกพันให้กรมป่าไม้ต้องปฏิบัติตามดังที่จำเลยได้กล่าวอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเดิมทั้ง 6 คนเป็นผู้ซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์อย่างใด ๆ ตามกฎหมายในที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คนดังกล่าว จำเลยจึงหามีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่และความเห็นของคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติที่ให้กันที่ดินพิพาทออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติก็หามีผลลบล้างทำให้ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแต่อย่างใด ที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด เมื่อจำเลยเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิอย่างใด ๆ ในที่ดินพิพาทและที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นที่ดินของรัฐประเภทป่าสงวนแห่งชาติที่สามารถนำมาปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 และกรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวให้แก่โจทก์นำไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 (4), 36 ทวิ แล้ว โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องจัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของรัฐเสียก่อนตามที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ที่ออกให้แก่จำเลยและฟ้องขับไล่จำเลยได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2536 เป็นแนวทางที่โจทก์ต้องใช้ปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและในการปฏิรูปที่ดิน เห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเท่านั้นซึ่งจะทำได้หรือไม่ได้เพียงใด ก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายในเรื่องนั้นบัญญัติไว้ ในกรณีเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ดังนั้นบุคคลใดจะมีสิทธิที่จะได้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ก็ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนด หาใช่จะถือตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแต่เพียงอย่างเดียวตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 4 บัญญัติความหมายของคำว่า “เกษตรกร” หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และให้หมายความรวมถึงบุคคลผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็นบุตรของเกษตรกรบรรดาซึ่งไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วย และตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2535 ข้อ 6 (6) ระบุว่า ต้องเป็นผู้ไม่มีที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเอง หรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอแก่การประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ แสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและเกษตรกรผู้นั้นจะต้องไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพหรือต้องเช่าที่ดินของผู้อื่นประกอบเกษตรกรรม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีที่ดินของตนเองจำนวน 108 แปลง และจำเลยประกอบอาชีพอื่นนอกจากด้านการเกษตรโดยประกอบอาชีพค้าขาย มีหุ้นอยู่ในนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัด รวม 16 แห่ง จึงถือได้ว่าจำเลยมีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองและมีรายได้เพียงพอแก่การครองชีพแล้วและไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักแต่อย่างใด จำเลยย่อมขาดคุณสมบัติในการยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน การที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) เลขที่ 91 ในที่ดินพิพาทที่ออกให้แก่จำเลยจึงชอบแล้ว ถึงแม้ในตอนแรก โจทก์ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ให้แก่จำเลยไปแล้ว แต่เมื่อมาตรวจสอบพบในภายหลังว่า จำเลยเป็นผู้ขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็สามารถทำการเพิกถอนได้เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ที่มีสิทธิที่จะได้หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) มาตั้งแต่ตั้น และเมื่อเพิกถอนการอนุญาตให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน
อ้างอิง http://deka2007.supremecourt.or.th/ และอีกหลายๆเวบครับ
คำพากษาที่ 4431/2550
#81
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:23
"ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ผมคิด กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดมันไม่เหมือนกัน"
ผมได้คำยืนยันในสิ่งที่ผมสงสัยแล้วหล่ะ
ก็แค่จะมาป้อนชุดความคิดว่า เป็นเสียงส่วนน้อย ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ อ้างนู้นอ้างนี่ไม่เรื่อย เกลียดทักษิณ แต่ก็ยังยอมรับได้ เอ๊ะมันยังไงกัน ถึงแม้มันจะโกง แม้มันจะทำลายทุกสิ่งอย่างที่ประเทศนี่ได้สร้างมา แล้วทำให้ประเทศฉิบหายย่อยยับไปคามือ
นี่มันชุดความคิดของเสื้อแดงชัดๆ
#82
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:24
ไม่ถูกครับ
ถ้าคุณสุเทพ เปลี่ยนจาก กปปส เป็นคนเลือกคนที่จะมาเป็นสภาประชาชน เป็นให้คนอื่นเลือก
เช่น
ให้เพื่อไทยเลือก 100 ปชป เลือก 100 นักวิชาการ และสาขาอาชีพอีกซัก 200 แล้วหานายกที่เป็นกลางจริงๆ (ซึ่งตอนนี้คุณสุเทพก็ยังไมไ่ด้บอก ว่านายกเป็นใคร จะหายังไง) อาจจะขอทูลเกล้า หรืออะไรก็ได้ อันนี้ผมก็เห็นด้วย เต็มที่ครับ
หรือจะ ประชามติก่อน ว่าเอาสภาประชาชนไหม ถ้าคนส่วนใหญ่เอา ผมก็ตามนั้นครับ
ส่วนที่ว่าถ้าจะไม่เปลี่ยนอะไรเลย แล้วจะให้ผมเห็นด้วยนี่ผมมองไม่ออกครับ
คนคิดว่าที่นี่เป็นที่แลกเปลี่ยนมุมมอง ไม่ใช่ที่ ที่ผมเข้ามาแล้วจะเปลี่ยนไปเห็นด้วยกับคนอื่นๆเสียหมด
ผมชอบแลกเปลี่ยนกับคนอื่นๆ เรื่องโกง หรืออะไรบางอย่างที่ไม่เคยรู้ ถ้าคุยแต่กับคนที่คิดเหมือนกัน ก็ไม่เคยรู้ มันเหมือนเป็นการเปิดโลกตัวเองมากกว่าครับ อะไรที่มีหลักฐาน อะไรที่ถูก ผมก็ยอมรับ แต่คงไม่จำเป็นมั้งครับ ว่าผมเข้ามาแลกเปลี่ยนแล้วผมจะต้องเปลี่ยนความคิดไปเป็นเหมือนพวกคุณ
ทำไมถึงต้องเฉพาะเพื่อไทย ปชป นักวิชาการ และสาขาอาชีพเป็นคนเลือกครับ
เมื่อต้องการจะปฏิรูปนักการเมือง ทำไมถึงเสนอสูตรให้พรรคการเมืองมาเป็นคนจัดตั้งล่ะครับ???
- whiskypeak likes this
#83
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:26
คุณคิดว่าการที่ไม่ไปเลือกตั้งคือสิ่งที่ดีที่สุดหรือครับ ผมกลับคิดว่าเราควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่า แล้วประชาธิปไตยก็มิได้หมายความว่าเสียงส่วนน้อยจะต้องยอมรับเสียงส่วนมากทุกเรื่องนะครับ
ก็ผมก็ไม่เลือกตั้งไงครับ ใครโกงใครเลว ใครชั่ว ผมก็ไม่เลือกคนธรรมดาคนนึง
จะลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยตัวเอง คงเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
ในฐานะของประชาชนธรรมดาของคุณสุเทพ
ย่อมมีสิทธิเรียกร้องในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก
ที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่าประชาชนคนอื่นๆ จะเห็นด้วยหรือไม่
หลายครั้งของการชุมนุม ก็พิสูจน์ไปบ้างกลายๆ
เสื้อแดงก็มีโอกาสพิสูจน์ความต้องการของประชาชน
ไม่ต่างกับคุณสุเทพนี่ครับ
ไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป แสดงตัวกันออกมา
ผมพูดถึงการใช้สิทธิ์แสดงตัวสนับสนุนแนวคิดนะครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่คุณสุเทพบัญญัติ
เว้นแต่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
หรือไม่ก็เพื่อไทยทำลายตัวเอง
คุณล่ะ นอกจากกระทู้นี้แล้ว
เคยพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องในใจคุณหรือยัง
ถ้ายัง ผมแนะนำให้ทำครับ
ไม่แน่ ประชาชนเกินกว่า 10 ล้านคนอาจเห็นด้วยกับคุณ
ลองทำดูสิครับ
ส่วนจะสิบล้านหรือ หนึ่งล้านก็ไม่เป็นไรครับ
ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ผมคิด กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดมันไม่เหมือนกัน
แล้วสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกสี่ปีนี้ก็ถูกต้อง ไม่เดือนร้อนใคร ไม่ผิดกฎหมาย
แล้วคุณบอกให้อีกฝั่งออกมาบ้าง ถ้าอีกฝั่งออกมา ก็มีพวกๆของคุณนั้นแหละครับ มากล่าวว่าจะออกมาทำไม จ้างมา โง่ ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ อะไรทำนองนี้
ดังนั้นคุณขะเรียกร้อยให้อีกฝ่ายออกมา โดยเมื่อเค้าออกมาก็ตามด่าเค้าเนี่ยหรอครับ
แล้วผมก็ใช้สิทธิของผม ตลอดอยู่แล้วครับ แล้วก็ไม่เคยขายเสียงด้วยครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าคุณอย่าคิดไปเองครับว่าผู้ชุมนุมโดยมากออกมาเพราะเชื่อถือสุเทพ เพียงแต่ทุกคนมีแนวคิดเดียวกันคือกำจัดระบอบทักษิณ ส่วนถ้าหลังปฏิรูปมีมวลชนออกมาประท้วงและมีเหตุผลอันควร ผมยังเชื่อว่าคนที่ออกไปรอบนี้ก็พร้อมจะสมทบครับ
แต่ข้ออ้างต้องมีเหตุผลและมีหลักฐานนะครับอย่างสั่งฆ่าประชาชน สปก หนีทหาร อย่างนี้ไม่เอานะครับ
สปก ผมโพส ให้แล้วนะครับ
ส่วนเรื่องหนีทหารไม่มีหลักฐานครับ
เรื่องฆ่าประชาชน ไม่มีหลักฐานว่าสั่งฆ่าครับ แต่มีคำพิพากษา ว่ามี นปช ตายเนื่องจากกระสุนทางฝั่งทหาร ดังนั้นสั่งฆ่าหรือไม่ ไม่ทราบครับ
#84
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:27
ก็ผมก็ไม่เลือกตั้งไงครับ ใครโกงใครเลว ใครชั่ว ผมก็ไม่เลือกคนธรรมดาคนนึง
จะลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยตัวเอง คงเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
ในฐานะของประชาชนธรรมดาของคุณสุเทพ
ย่อมมีสิทธิเรียกร้องในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก
ที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่าประชาชนคนอื่นๆ จะเห็นด้วยหรือไม่
หลายครั้งของการชุมนุม ก็พิสูจน์ไปบ้างกลายๆ
เสื้อแดงก็มีโอกาสพิสูจน์ความต้องการของประชาชน
ไม่ต่างกับคุณสุเทพนี่ครับ
ไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป แสดงตัวกันออกมา
ผมพูดถึงการใช้สิทธิ์แสดงตัวสนับสนุนแนวคิดนะครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่คุณสุเทพบัญญัติ
เว้นแต่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
หรือไม่ก็เพื่อไทยทำลายตัวเอง
คุณล่ะ นอกจากกระทู้นี้แล้ว
เคยพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องในใจคุณหรือยัง
ถ้ายัง ผมแนะนำให้ทำครับ
ไม่แน่ ประชาชนเกินกว่า 10 ล้านคนอาจเห็นด้วยกับคุณ
ลองทำดูสิครับ
ส่วนจะสิบล้านหรือ หนึ่งล้านก็ไม่เป็นไรครับ
ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ผมคิด กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดมันไม่เหมือนกัน
แล้วสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกสี่ปีนี้ก็ถูกต้อง ไม่เดือนร้อนใคร ไม่ผิดกฎหมาย
แล้วคุณบอกให้อีกฝั่งออกมาบ้าง ถ้าอีกฝั่งออกมา ก็มีพวกๆของคุณนั้นแหละครับ มากล่าวว่าจะออกมาทำไม จ้างมา โง่ ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ อะไรทำนองนี้
ดังนั้นคุณขะเรียกร้อยให้อีกฝ่ายออกมา โดยเมื่อเค้าออกมาก็ตามด่าเค้าเนี่ยหรอครับ
แล้วผมก็ใช้สิทธิของผม ตลอดอยู่แล้วครับ แล้วก็ไม่เคยขายเสียงด้วยครับ
อีกฝั่งถ้าออกมาแล้วแสดงความเห็นมารบฟัง ไม่มีใครว่าเลยครับแค่เวลาพูดต้องนึกถึงใจเขาใจเราด้วย ถ้าใช้คำพูดเชิงเสียดสี จะทำให้ขัดแย้งหนักกว่าเดิมอีกนะครับ
#85
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:28
"ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ผมคิด กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดมันไม่เหมือนกัน"
ผมได้คำยืนยันในสิ่งที่ผมสงสัยแล้วหล่ะ
ก็แค่จะมาป้อนชุดความคิดว่า เป็นเสียงส่วนน้อย ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ อ้างนู้นอ้างนี่ไม่เรื่อย เกลียดทักษิณ แต่ก็ยังยอมรับได้ เอ๊ะมันยังไงกัน ถึงแม้มันจะโกง แม้มันจะทำลายทุกสิ่งอย่างที่ประเทศนี่ได้สร้างมา แล้วทำให้ประเทศฉิบหายย่อยยับไปคามือ
นี่มันชุดความคิดของเสื้อแดงชัดๆ
ผมคิดอย่างนี้ จะมองว่าเสื้อแดงหรืออะไร ก็ไม่ทราบ แต่ผมคิดอย่างนี้ ผมไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงครับ
แต่การที่บอกว่าผมไปเลือกตั้งทุกครั้ง ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ว่าไง ผมก็ยอมรับ อันนี้คือสิ่งที่ผมคิด
และก็เป็นแนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย ผมไม่ได้บอกว่าห้ามชุมนุม คุยไม่เห็นด้วยกับการบริหารคุณก็ชุมนุมไป กฎหมายเปิดช่อง ตราบใดที่ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น
#86
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:29
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของผมนะครับ ผมว่าผมเชื่อไม่เหมือนคนอื่นๆได้ เพราะนี้คือประชาธิปไตย
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับเจ้าของกระทู้นอนดึกดีนะครับ
ผมไปหาแล้ว ไม่เจอคำพิพากษาหรือข้อมูลเกี่ยวกับคำตัดสินว่า สุเทพ และ ปชป โกงเลยเกี่ยวกับคดี สปก
รบกวนเจา้ของกระทู้ช่วยชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้ไหมครับ
“...การจะได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ได้มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 วรรคหนึ่งว่า ให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และวรรคสองบัญญัติว่า การแจ้งการครอบครองตามความในมาตรานี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งแต่ประการใดและประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 3 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในกรณีต่อไปนี้ (1) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามบทกฎหมายก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับหรือได้มาซึ่งโฉนดที่ดินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (2) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่นและมาตรา 4 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองตลอดถึงผู้รับโอนด้วย จากบทบัญญัติ 3 มาตราดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองโดยชอบจะต้องเป็นการได้มาหรือครอบครองโดยชอบก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 หรือได้มาโดยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่น แต่ผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คน อ้างว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทในปี 2498 อันเป็นเวลาภายหลังพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวประกาศใช้แล้ว และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ครอบครองที่ดินโดยชอบตามบทกฎหมายใด ดังนั้น การครอบครองของผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คนดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองเดิมก่อนขายให้แก่จำเลย และตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 บัญญัติว่า ที่ดินที่มิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นของรัฐ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงต้องถือว่าเป็นที่ดินของรัฐอยู่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าปี 2516 ทางราชการโดยกรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่บริเวณที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด และเจ้าของเดิมทั้ง 6 คน ให้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิดไว้แล้ว ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 ซึ่งกรมป่าไม้จะต้องกันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 เป็นกรณีที่เมื่อมีบุคคลใดอ้างว่ามีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ บุคคลนั้นก็สามารถยื่นคำร้องโดยอ้างในคำร้องว่า ตนเป็นผู้มีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับเท่านั้น และเมื่อได้ยื่นคำร้องดังกล่าวแล้วผลของการยื่นคำร้องจะเป็นไปตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 คือ เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติได้รับคำร้องตามมาตรา 12 แล้ว ให้สอบสวนตามคำร้องนั้น ถ้าปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์อย่างใด ๆ ก็ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้ตามที่เห็นสมควร หาทำให้ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อย่างใดไม่ เป็นเพียงทำให้ผู้ร้องมีสิทธิได้ค่าทดแทนในกรณีหากปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเท่านั้นซึ่งตามมาตรา 12 มีข้อยกเว้นอยู่ในวรรคสามว่า การยื่นคำร้องดังกล่าวมิให้ใช้บังคับแก่กรณีสิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งก็หมายความว่า หากผู้ร้องเป็นผู้ที่มีสิทธิครอบครองในที่ดินหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องภายในกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้นใช้บังคับ ดังนั้น ตามฎีกาของจำเลยที่อ้างว่า ผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คน ได้ยื่นคำร้องตามมาตรา 12 ดังกล่าวแล้วนั้น และคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเป็นผลให้กรมป่าไม้จะต้องดำเนินการกันที่ดินพิพาทที่มีการคัดค้านดังกล่าวออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ประกาศขึ้นภายหลังจึงเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน การที่คณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงความเห็นของคณะอนุกรรมการเท่านั้นหามีผลตามกฎหมายในอันที่กรมป่าไม้จะต้องปฏิบัติตามเนื่องจากความเห็นของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะต้องเสนอให้คณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติพิจารณาก่อน เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติยังไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าว จึงหามีผลผูกพันให้กรมป่าไม้ต้องปฏิบัติตามดังที่จำเลยได้กล่าวอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเดิมทั้ง 6 คนเป็นผู้ซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์อย่างใด ๆ ตามกฎหมายในที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คนดังกล่าว จำเลยจึงหามีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่และความเห็นของคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติที่ให้กันที่ดินพิพาทออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติก็หามีผลลบล้างทำให้ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแต่อย่างใด ที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด เมื่อจำเลยเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิอย่างใด ๆ ในที่ดินพิพาทและที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นที่ดินของรัฐประเภทป่าสงวนแห่งชาติที่สามารถนำมาปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 และกรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวให้แก่โจทก์นำไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 (4), 36 ทวิ แล้ว โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องจัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของรัฐเสียก่อนตามที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ที่ออกให้แก่จำเลยและฟ้องขับไล่จำเลยได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2536 เป็นแนวทางที่โจทก์ต้องใช้ปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและในการปฏิรูปที่ดิน เห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเท่านั้นซึ่งจะทำได้หรือไม่ได้เพียงใด ก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายในเรื่องนั้นบัญญัติไว้ ในกรณีเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ดังนั้นบุคคลใดจะมีสิทธิที่จะได้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ก็ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนด หาใช่จะถือตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแต่เพียงอย่างเดียวตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 4 บัญญัติความหมายของคำว่า “เกษตรกร” หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และให้หมายความรวมถึงบุคคลผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็นบุตรของเกษตรกรบรรดาซึ่งไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วย และตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2535 ข้อ 6 (6) ระบุว่า ต้องเป็นผู้ไม่มีที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเอง หรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอแก่การประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ แสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและเกษตรกรผู้นั้นจะต้องไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพหรือต้องเช่าที่ดินของผู้อื่นประกอบเกษตรกรรม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีที่ดินของตนเองจำนวน 108 แปลง และจำเลยประกอบอาชีพอื่นนอกจากด้านการเกษตรโดยประกอบอาชีพค้าขาย มีหุ้นอยู่ในนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัด รวม 16 แห่ง จึงถือได้ว่าจำเลยมีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองและมีรายได้เพียงพอแก่การครองชีพแล้วและไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักแต่อย่างใด จำเลยย่อมขาดคุณสมบัติในการยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน การที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) เลขที่ 91 ในที่ดินพิพาทที่ออกให้แก่จำเลยจึงชอบแล้ว ถึงแม้ในตอนแรก โจทก์ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ให้แก่จำเลยไปแล้ว แต่เมื่อมาตรวจสอบพบในภายหลังว่า จำเลยเป็นผู้ขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็สามารถทำการเพิกถอนได้เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ที่มีสิทธิที่จะได้หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) มาตั้งแต่ตั้น และเมื่อเพิกถอนการอนุญาตให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืนอ้างอิง http://deka2007.supremecourt.or.th/ และอีกหลายๆเวบครับ
คำพากษาที่ 4431/2550
อันนี้ผมเห็นครับ แต่จำเลยในคำตัดสินนี้ มันไม่ใช่ คุณสุเทพ และ ปชป
ขอที่เป็นการฟ้องร้องและดำเนินคดีเรื่องนี้ของสุเทพ และปชป แล้วศาลตัดสินว่าผิดและโกงครับ ตามที่เจ้าของกระทู้ระบุและเชื่อครับ
Edited by wisary, 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:30.
#87
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:31
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของผมนะครับ ผมว่าผมเชื่อไม่เหมือนคนอื่นๆได้ เพราะนี้คือประชาธิปไตย
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับเจ้าของกระทู้นอนดึกดีนะครับ
ผมไปหาแล้ว ไม่เจอคำพิพากษาหรือข้อมูลเกี่ยวกับคำตัดสินว่า สุเทพ และ ปชป โกงเลยเกี่ยวกับคดี สปก
รบกวนเจา้ของกระทู้ช่วยชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้ไหมครับ
“...การจะได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ได้มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 วรรคหนึ่งว่า ให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และวรรคสองบัญญัติว่า การแจ้งการครอบครองตามความในมาตรานี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งแต่ประการใดและประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 3 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในกรณีต่อไปนี้ (1) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามบทกฎหมายก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับหรือได้มาซึ่งโฉนดที่ดินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (2) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่นและมาตรา 4 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองตลอดถึงผู้รับโอนด้วย จากบทบัญญัติ 3 มาตราดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองโดยชอบจะต้องเป็นการได้มาหรือครอบครองโดยชอบก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 หรือได้มาโดยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่น แต่ผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คน อ้างว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทในปี 2498 อันเป็นเวลาภายหลังพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวประกาศใช้แล้ว และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ครอบครองที่ดินโดยชอบตามบทกฎหมายใด ดังนั้น การครอบครองของผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คนดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองเดิมก่อนขายให้แก่จำเลย และตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 บัญญัติว่า ที่ดินที่มิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นของรัฐ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงต้องถือว่าเป็นที่ดินของรัฐอยู่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าปี 2516 ทางราชการโดยกรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่บริเวณที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด และเจ้าของเดิมทั้ง 6 คน ให้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิดไว้แล้ว ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 ซึ่งกรมป่าไม้จะต้องกันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 เป็นกรณีที่เมื่อมีบุคคลใดอ้างว่ามีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ บุคคลนั้นก็สามารถยื่นคำร้องโดยอ้างในคำร้องว่า ตนเป็นผู้มีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับเท่านั้น และเมื่อได้ยื่นคำร้องดังกล่าวแล้วผลของการยื่นคำร้องจะเป็นไปตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 คือ เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติได้รับคำร้องตามมาตรา 12 แล้ว ให้สอบสวนตามคำร้องนั้น ถ้าปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์อย่างใด ๆ ก็ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้ตามที่เห็นสมควร หาทำให้ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อย่างใดไม่ เป็นเพียงทำให้ผู้ร้องมีสิทธิได้ค่าทดแทนในกรณีหากปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเท่านั้นซึ่งตามมาตรา 12 มีข้อยกเว้นอยู่ในวรรคสามว่า การยื่นคำร้องดังกล่าวมิให้ใช้บังคับแก่กรณีสิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งก็หมายความว่า หากผู้ร้องเป็นผู้ที่มีสิทธิครอบครองในที่ดินหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องภายในกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้นใช้บังคับ ดังนั้น ตามฎีกาของจำเลยที่อ้างว่า ผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คน ได้ยื่นคำร้องตามมาตรา 12 ดังกล่าวแล้วนั้น และคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเป็นผลให้กรมป่าไม้จะต้องดำเนินการกันที่ดินพิพาทที่มีการคัดค้านดังกล่าวออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ประกาศขึ้นภายหลังจึงเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน การที่คณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงความเห็นของคณะอนุกรรมการเท่านั้นหามีผลตามกฎหมายในอันที่กรมป่าไม้จะต้องปฏิบัติตามเนื่องจากความเห็นของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะต้องเสนอให้คณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติพิจารณาก่อน เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติยังไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าว จึงหามีผลผูกพันให้กรมป่าไม้ต้องปฏิบัติตามดังที่จำเลยได้กล่าวอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเดิมทั้ง 6 คนเป็นผู้ซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์อย่างใด ๆ ตามกฎหมายในที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คนดังกล่าว จำเลยจึงหามีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่และความเห็นของคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติที่ให้กันที่ดินพิพาทออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติก็หามีผลลบล้างทำให้ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแต่อย่างใด ที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด เมื่อจำเลยเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิอย่างใด ๆ ในที่ดินพิพาทและที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นที่ดินของรัฐประเภทป่าสงวนแห่งชาติที่สามารถนำมาปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 และกรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวให้แก่โจทก์นำไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 (4), 36 ทวิ แล้ว โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องจัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของรัฐเสียก่อนตามที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ที่ออกให้แก่จำเลยและฟ้องขับไล่จำเลยได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2536 เป็นแนวทางที่โจทก์ต้องใช้ปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและในการปฏิรูปที่ดิน เห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเท่านั้นซึ่งจะทำได้หรือไม่ได้เพียงใด ก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายในเรื่องนั้นบัญญัติไว้ ในกรณีเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ดังนั้นบุคคลใดจะมีสิทธิที่จะได้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ก็ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนด หาใช่จะถือตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแต่เพียงอย่างเดียวตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 4 บัญญัติความหมายของคำว่า “เกษตรกร” หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และให้หมายความรวมถึงบุคคลผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็นบุตรของเกษตรกรบรรดาซึ่งไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วย และตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2535 ข้อ 6 (6) ระบุว่า ต้องเป็นผู้ไม่มีที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเอง หรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอแก่การประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ แสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและเกษตรกรผู้นั้นจะต้องไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพหรือต้องเช่าที่ดินของผู้อื่นประกอบเกษตรกรรม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีที่ดินของตนเองจำนวน 108 แปลง และจำเลยประกอบอาชีพอื่นนอกจากด้านการเกษตรโดยประกอบอาชีพค้าขาย มีหุ้นอยู่ในนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัด รวม 16 แห่ง จึงถือได้ว่าจำเลยมีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองและมีรายได้เพียงพอแก่การครองชีพแล้วและไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักแต่อย่างใด จำเลยย่อมขาดคุณสมบัติในการยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน การที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) เลขที่ 91 ในที่ดินพิพาทที่ออกให้แก่จำเลยจึงชอบแล้ว ถึงแม้ในตอนแรก โจทก์ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ให้แก่จำเลยไปแล้ว แต่เมื่อมาตรวจสอบพบในภายหลังว่า จำเลยเป็นผู้ขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็สามารถทำการเพิกถอนได้เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ที่มีสิทธิที่จะได้หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) มาตั้งแต่ตั้น และเมื่อเพิกถอนการอนุญาตให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืนอ้างอิง http://deka2007.supremecourt.or.th/ และอีกหลายๆเวบครับ
คำพากษาที่ 4431/2550
บรรทัดไหนครับที่ศาลตัดสินว่าสุเทพผิด
#88
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:31
ก็ผมก็ไม่เลือกตั้งไงครับ ใครโกงใครเลว ใครชั่ว ผมก็ไม่เลือกคนธรรมดาคนนึง
จะลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยตัวเอง คงเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
ในฐานะของประชาชนธรรมดาของคุณสุเทพ
ย่อมมีสิทธิเรียกร้องในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก
ที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่าประชาชนคนอื่นๆ จะเห็นด้วยหรือไม่
หลายครั้งของการชุมนุม ก็พิสูจน์ไปบ้างกลายๆ
เสื้อแดงก็มีโอกาสพิสูจน์ความต้องการของประชาชน
ไม่ต่างกับคุณสุเทพนี่ครับ
ไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป แสดงตัวกันออกมา
ผมพูดถึงการใช้สิทธิ์แสดงตัวสนับสนุนแนวคิดนะครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่คุณสุเทพบัญญัติ
เว้นแต่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
หรือไม่ก็เพื่อไทยทำลายตัวเอง
คุณล่ะ นอกจากกระทู้นี้แล้ว
เคยพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องในใจคุณหรือยัง
ถ้ายัง ผมแนะนำให้ทำครับ
ไม่แน่ ประชาชนเกินกว่า 10 ล้านคนอาจเห็นด้วยกับคุณ
ลองทำดูสิครับ
ส่วนจะสิบล้านหรือ หนึ่งล้านก็ไม่เป็นไรครับ
ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ผมคิด กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดมันไม่เหมือนกัน
แล้วสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกสี่ปีนี้ก็ถูกต้อง ไม่เดือนร้อนใคร ไม่ผิดกฎหมาย
แล้วคุณบอกให้อีกฝั่งออกมาบ้าง ถ้าอีกฝั่งออกมา ก็มีพวกๆของคุณนั้นแหละครับ มากล่าวว่าจะออกมาทำไม จ้างมา โง่ ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ อะไรทำนองนี้
ดังนั้นคุณขะเรียกร้อยให้อีกฝ่ายออกมา โดยเมื่อเค้าออกมาก็ตามด่าเค้าเนี่ยหรอครับ
แล้วผมก็ใช้สิทธิของผม ตลอดอยู่แล้วครับ แล้วก็ไม่เคยขายเสียงด้วยครับ
อีกฝั่งถ้าออกมาแล้วแสดงความเห็นมารบฟัง ไม่มีใครว่าเลยครับแค่เวลาพูดต้องนึกถึงใจเขาใจเราด้วย ถ้าใช้คำพูดเชิงเสียดสี จะทำให้ขัดแย้งหนักกว่าเดิมอีกนะครับ
ผมขอโทษ ที่ใช้คำพูดเรื่อง โง่ ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ แต่ผมคิดว่าคนเหล่านั้นเชื่อว่าผมไม่ได้มีเจตนาด่าพวกเค้าครับ ถ้าคิด ผมขออภัยครับ
ทางกลับกัน ผมไม่เข้าใจ ว่าหลายๆกระทู้ก็เขียนว่าควายแดง หรือแม้แต่ในกระทู้ผมก็มี แล้วเป็นการด่าเจตนาชัดเจน ทำไมท่านถึงไม่พูดถึงเรื่องทำความขัดแย้งรุนแรงมากยิ่งขึ้นหล่ะครับ?
#89
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:35
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของผมนะครับ ผมว่าผมเชื่อไม่เหมือนคนอื่นๆได้ เพราะนี้คือประชาธิปไตย
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับเจ้าของกระทู้นอนดึกดีนะครับ
ผมไปหาแล้ว ไม่เจอคำพิพากษาหรือข้อมูลเกี่ยวกับคำตัดสินว่า สุเทพ และ ปชป โกงเลยเกี่ยวกับคดี สปก
รบกวนเจา้ของกระทู้ช่วยชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้ไหมครับ
“...การจะได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ได้มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 วรรคหนึ่งว่า ให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และวรรคสองบัญญัติว่า การแจ้งการครอบครองตามความในมาตรานี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งแต่ประการใดและประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 3 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในกรณีต่อไปนี้ (1) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามบทกฎหมายก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับหรือได้มาซึ่งโฉนดที่ดินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (2) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่นและมาตรา 4 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองตลอดถึงผู้รับโอนด้วย จากบทบัญญัติ 3 มาตราดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองโดยชอบจะต้องเป็นการได้มาหรือครอบครองโดยชอบก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 หรือได้มาโดยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่น แต่ผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คน อ้างว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทในปี 2498 อันเป็นเวลาภายหลังพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวประกาศใช้แล้ว และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ครอบครองที่ดินโดยชอบตามบทกฎหมายใด ดังนั้น การครอบครองของผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คนดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองเดิมก่อนขายให้แก่จำเลย และตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 บัญญัติว่า ที่ดินที่มิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นของรัฐ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงต้องถือว่าเป็นที่ดินของรัฐอยู่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าปี 2516 ทางราชการโดยกรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่บริเวณที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด และเจ้าของเดิมทั้ง 6 คน ให้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิดไว้แล้ว ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 ซึ่งกรมป่าไม้จะต้องกันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 เป็นกรณีที่เมื่อมีบุคคลใดอ้างว่ามีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ บุคคลนั้นก็สามารถยื่นคำร้องโดยอ้างในคำร้องว่า ตนเป็นผู้มีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับเท่านั้น และเมื่อได้ยื่นคำร้องดังกล่าวแล้วผลของการยื่นคำร้องจะเป็นไปตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 คือ เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติได้รับคำร้องตามมาตรา 12 แล้ว ให้สอบสวนตามคำร้องนั้น ถ้าปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์อย่างใด ๆ ก็ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้ตามที่เห็นสมควร หาทำให้ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อย่างใดไม่ เป็นเพียงทำให้ผู้ร้องมีสิทธิได้ค่าทดแทนในกรณีหากปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเท่านั้นซึ่งตามมาตรา 12 มีข้อยกเว้นอยู่ในวรรคสามว่า การยื่นคำร้องดังกล่าวมิให้ใช้บังคับแก่กรณีสิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งก็หมายความว่า หากผู้ร้องเป็นผู้ที่มีสิทธิครอบครองในที่ดินหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องภายในกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้นใช้บังคับ ดังนั้น ตามฎีกาของจำเลยที่อ้างว่า ผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คน ได้ยื่นคำร้องตามมาตรา 12 ดังกล่าวแล้วนั้น และคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเป็นผลให้กรมป่าไม้จะต้องดำเนินการกันที่ดินพิพาทที่มีการคัดค้านดังกล่าวออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ประกาศขึ้นภายหลังจึงเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน การที่คณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงความเห็นของคณะอนุกรรมการเท่านั้นหามีผลตามกฎหมายในอันที่กรมป่าไม้จะต้องปฏิบัติตามเนื่องจากความเห็นของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะต้องเสนอให้คณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติพิจารณาก่อน เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติยังไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าว จึงหามีผลผูกพันให้กรมป่าไม้ต้องปฏิบัติตามดังที่จำเลยได้กล่าวอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเดิมทั้ง 6 คนเป็นผู้ซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์อย่างใด ๆ ตามกฎหมายในที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คนดังกล่าว จำเลยจึงหามีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่และความเห็นของคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติที่ให้กันที่ดินพิพาทออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติก็หามีผลลบล้างทำให้ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแต่อย่างใด ที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด เมื่อจำเลยเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิอย่างใด ๆ ในที่ดินพิพาทและที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นที่ดินของรัฐประเภทป่าสงวนแห่งชาติที่สามารถนำมาปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 และกรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวให้แก่โจทก์นำไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 (4), 36 ทวิ แล้ว โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องจัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของรัฐเสียก่อนตามที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ที่ออกให้แก่จำเลยและฟ้องขับไล่จำเลยได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2536 เป็นแนวทางที่โจทก์ต้องใช้ปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและในการปฏิรูปที่ดิน เห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเท่านั้นซึ่งจะทำได้หรือไม่ได้เพียงใด ก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายในเรื่องนั้นบัญญัติไว้ ในกรณีเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ดังนั้นบุคคลใดจะมีสิทธิที่จะได้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ก็ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนด หาใช่จะถือตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแต่เพียงอย่างเดียวตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 4 บัญญัติความหมายของคำว่า “เกษตรกร” หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และให้หมายความรวมถึงบุคคลผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็นบุตรของเกษตรกรบรรดาซึ่งไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วย และตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2535 ข้อ 6 (6) ระบุว่า ต้องเป็นผู้ไม่มีที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเอง หรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอแก่การประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ แสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและเกษตรกรผู้นั้นจะต้องไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพหรือต้องเช่าที่ดินของผู้อื่นประกอบเกษตรกรรม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีที่ดินของตนเองจำนวน 108 แปลง และจำเลยประกอบอาชีพอื่นนอกจากด้านการเกษตรโดยประกอบอาชีพค้าขาย มีหุ้นอยู่ในนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัด รวม 16 แห่ง จึงถือได้ว่าจำเลยมีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองและมีรายได้เพียงพอแก่การครองชีพแล้วและไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักแต่อย่างใด จำเลยย่อมขาดคุณสมบัติในการยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน การที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) เลขที่ 91 ในที่ดินพิพาทที่ออกให้แก่จำเลยจึงชอบแล้ว ถึงแม้ในตอนแรก โจทก์ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ให้แก่จำเลยไปแล้ว แต่เมื่อมาตรวจสอบพบในภายหลังว่า จำเลยเป็นผู้ขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็สามารถทำการเพิกถอนได้เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ที่มีสิทธิที่จะได้หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) มาตั้งแต่ตั้น และเมื่อเพิกถอนการอนุญาตให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืนอ้างอิง http://deka2007.supremecourt.or.th/ และอีกหลายๆเวบครับ
คำพากษาที่ 4431/2550
บรรทัดไหนครับที่ศาลตัดสินว่าสุเทพผิด
ต้องให้ผมเริ่มตั้งแต่แรกเลยหรอครับ
ยังไงท่านน่าจะลองดูก่อนนะครับ ลองเริ่มจากหนังสือพิมพ์พวก ไทยรัฐ หรืออะไรพวกนี้ก็ได้
ถ้าไม่ได้จริงๆ ผมจะตอบให้อีกครั้งครับ
#90
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:39
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของผมนะครับ ผมว่าผมเชื่อไม่เหมือนคนอื่นๆได้ เพราะนี้คือประชาธิปไตย
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับเจ้าของกระทู้นอนดึกดีนะครับ
ผมไปหาแล้ว ไม่เจอคำพิพากษาหรือข้อมูลเกี่ยวกับคำตัดสินว่า สุเทพ และ ปชป โกงเลยเกี่ยวกับคดี สปก
รบกวนเจา้ของกระทู้ช่วยชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้ไหมครับ
“...การจะได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ได้มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 วรรคหนึ่งว่า ให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และวรรคสองบัญญัติว่า การแจ้งการครอบครองตามความในมาตรานี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งแต่ประการใดและประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 3 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในกรณีต่อไปนี้ (1) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามบทกฎหมายก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับหรือได้มาซึ่งโฉนดที่ดินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (2) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่นและมาตรา 4 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองตลอดถึงผู้รับโอนด้วย จากบทบัญญัติ 3 มาตราดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองโดยชอบจะต้องเป็นการได้มาหรือครอบครองโดยชอบก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 หรือได้มาโดยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่น แต่ผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คน อ้างว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทในปี 2498 อันเป็นเวลาภายหลังพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวประกาศใช้แล้ว และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ครอบครองที่ดินโดยชอบตามบทกฎหมายใด ดังนั้น การครอบครองของผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คนดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองเดิมก่อนขายให้แก่จำเลย และตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 บัญญัติว่า ที่ดินที่มิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นของรัฐ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงต้องถือว่าเป็นที่ดินของรัฐอยู่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าปี 2516 ทางราชการโดยกรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่บริเวณที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด และเจ้าของเดิมทั้ง 6 คน ให้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิดไว้แล้ว ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 ซึ่งกรมป่าไม้จะต้องกันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 เป็นกรณีที่เมื่อมีบุคคลใดอ้างว่ามีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ บุคคลนั้นก็สามารถยื่นคำร้องโดยอ้างในคำร้องว่า ตนเป็นผู้มีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับเท่านั้น และเมื่อได้ยื่นคำร้องดังกล่าวแล้วผลของการยื่นคำร้องจะเป็นไปตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 คือ เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติได้รับคำร้องตามมาตรา 12 แล้ว ให้สอบสวนตามคำร้องนั้น ถ้าปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์อย่างใด ๆ ก็ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้ตามที่เห็นสมควร หาทำให้ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อย่างใดไม่ เป็นเพียงทำให้ผู้ร้องมีสิทธิได้ค่าทดแทนในกรณีหากปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเท่านั้นซึ่งตามมาตรา 12 มีข้อยกเว้นอยู่ในวรรคสามว่า การยื่นคำร้องดังกล่าวมิให้ใช้บังคับแก่กรณีสิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งก็หมายความว่า หากผู้ร้องเป็นผู้ที่มีสิทธิครอบครองในที่ดินหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องภายในกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้นใช้บังคับ ดังนั้น ตามฎีกาของจำเลยที่อ้างว่า ผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คน ได้ยื่นคำร้องตามมาตรา 12 ดังกล่าวแล้วนั้น และคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเป็นผลให้กรมป่าไม้จะต้องดำเนินการกันที่ดินพิพาทที่มีการคัดค้านดังกล่าวออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ประกาศขึ้นภายหลังจึงเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน การที่คณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงความเห็นของคณะอนุกรรมการเท่านั้นหามีผลตามกฎหมายในอันที่กรมป่าไม้จะต้องปฏิบัติตามเนื่องจากความเห็นของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะต้องเสนอให้คณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติพิจารณาก่อน เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติยังไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าว จึงหามีผลผูกพันให้กรมป่าไม้ต้องปฏิบัติตามดังที่จำเลยได้กล่าวอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเดิมทั้ง 6 คนเป็นผู้ซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์อย่างใด ๆ ตามกฎหมายในที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คนดังกล่าว จำเลยจึงหามีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่และความเห็นของคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติที่ให้กันที่ดินพิพาทออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติก็หามีผลลบล้างทำให้ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแต่อย่างใด ที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด เมื่อจำเลยเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิอย่างใด ๆ ในที่ดินพิพาทและที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นที่ดินของรัฐประเภทป่าสงวนแห่งชาติที่สามารถนำมาปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 และกรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวให้แก่โจทก์นำไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 (4), 36 ทวิ แล้ว โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องจัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของรัฐเสียก่อนตามที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ที่ออกให้แก่จำเลยและฟ้องขับไล่จำเลยได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2536 เป็นแนวทางที่โจทก์ต้องใช้ปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและในการปฏิรูปที่ดิน เห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเท่านั้นซึ่งจะทำได้หรือไม่ได้เพียงใด ก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายในเรื่องนั้นบัญญัติไว้ ในกรณีเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ดังนั้นบุคคลใดจะมีสิทธิที่จะได้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ก็ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนด หาใช่จะถือตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแต่เพียงอย่างเดียวตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 4 บัญญัติความหมายของคำว่า “เกษตรกร” หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และให้หมายความรวมถึงบุคคลผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็นบุตรของเกษตรกรบรรดาซึ่งไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วย และตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2535 ข้อ 6 (6) ระบุว่า ต้องเป็นผู้ไม่มีที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเอง หรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอแก่การประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ แสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและเกษตรกรผู้นั้นจะต้องไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพหรือต้องเช่าที่ดินของผู้อื่นประกอบเกษตรกรรม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีที่ดินของตนเองจำนวน 108 แปลง และจำเลยประกอบอาชีพอื่นนอกจากด้านการเกษตรโดยประกอบอาชีพค้าขาย มีหุ้นอยู่ในนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัด รวม 16 แห่ง จึงถือได้ว่าจำเลยมีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองและมีรายได้เพียงพอแก่การครองชีพแล้วและไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักแต่อย่างใด จำเลยย่อมขาดคุณสมบัติในการยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน การที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) เลขที่ 91 ในที่ดินพิพาทที่ออกให้แก่จำเลยจึงชอบแล้ว ถึงแม้ในตอนแรก โจทก์ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ให้แก่จำเลยไปแล้ว แต่เมื่อมาตรวจสอบพบในภายหลังว่า จำเลยเป็นผู้ขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็สามารถทำการเพิกถอนได้เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ที่มีสิทธิที่จะได้หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) มาตั้งแต่ตั้น และเมื่อเพิกถอนการอนุญาตให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืนอ้างอิง http://deka2007.supremecourt.or.th/ และอีกหลายๆเวบครับ
คำพากษาที่ 4431/2550
บรรทัดไหนครับที่ศาลตัดสินว่าสุเทพผิด
ต้องให้ผมเริ่มตั้งแต่แรกเลยหรอครับ
ยังไงท่านน่าจะลองดูก่อนนะครับ ลองเริ่มจากหนังสือพิมพ์พวก ไทยรัฐ หรืออะไรพวกนี้ก็ได้
ถ้าไม่ได้จริงๆ ผมจะตอบให้อีกครั้งครับ
เริ่มแต่แรกเลยก็ดีครับ พอดีผมเกิดไม่ทันน่ะ
#91
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:41
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของผมนะครับ ผมว่าผมเชื่อไม่เหมือนคนอื่นๆได้ เพราะนี้คือประชาธิปไตย
ผมขอถามคุณบ้าง ว่าในทางกลับกัน ถ้า ปชป รัฐบาล นปช ต้องการจะปฎิรูป แล้วทำการตั้งสภาขึ้นมาเอง คนเหล่านั้น นปช สรรหา คำตอบ 1-3 ผมว่าท่านก็คงตอบเหมือนเดิม แต่ท่านว่ามันควรจะทำไหมหล่ะครับ ท่านอาจจะมองว่าไอ้พวกนั้นมันเลว ไอ้พวกนั้นมันก็มองว่ากลุ่มของท่านเลวเหมือนกัน ดังนั้นมันจะจบได้ยังไงหล่ะครับเจ้าของกระทู้นอนดึกดีนะครับ
ผมไปหาแล้ว ไม่เจอคำพิพากษาหรือข้อมูลเกี่ยวกับคำตัดสินว่า สุเทพ และ ปชป โกงเลยเกี่ยวกับคดี สปก
รบกวนเจา้ของกระทู้ช่วยชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้ไหมครับ
“...การจะได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ได้มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 5 วรรคหนึ่งว่า ให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน แจ้งการครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และวรรคสองบัญญัติว่า การแจ้งการครอบครองตามความในมาตรานี้ ไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่แก่ผู้แจ้งแต่ประการใดและประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 3 บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในกรณีต่อไปนี้ (1) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามบทกฎหมายก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับหรือได้มาซึ่งโฉนดที่ดินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ (2) ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่นและมาตรา 4 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับมาตรา 6 บุคคลใดได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ให้มีสิทธิครอบครองสืบไปและให้คุ้มครองตลอดถึงผู้รับโอนด้วย จากบทบัญญัติ 3 มาตราดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือสิทธิครอบครองโดยชอบจะต้องเป็นการได้มาหรือครอบครองโดยชอบก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 หรือได้มาโดยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพหรือกฎหมายอื่น แต่ผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คน อ้างว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทในปี 2498 อันเป็นเวลาภายหลังพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวประกาศใช้แล้ว และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ครอบครองที่ดินโดยชอบตามบทกฎหมายใด ดังนั้น การครอบครองของผู้ครอบครองเดิมทั้ง 6 คนดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองเดิมก่อนขายให้แก่จำเลย และตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 2 บัญญัติว่า ที่ดินที่มิได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นของรัฐ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงต้องถือว่าเป็นที่ดินของรัฐอยู่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าปี 2516 ทางราชการโดยกรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่บริเวณที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด และเจ้าของเดิมทั้ง 6 คน ให้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิดไว้แล้ว ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 ซึ่งกรมป่าไม้จะต้องกันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเทือกเขานาคเกิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 12 เป็นกรณีที่เมื่อมีบุคคลใดอ้างว่ามีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ บุคคลนั้นก็สามารถยื่นคำร้องโดยอ้างในคำร้องว่า ตนเป็นผู้มีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดเป็นป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับเท่านั้น และเมื่อได้ยื่นคำร้องดังกล่าวแล้วผลของการยื่นคำร้องจะเป็นไปตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 คือ เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติได้รับคำร้องตามมาตรา 12 แล้ว ให้สอบสวนตามคำร้องนั้น ถ้าปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์อย่างใด ๆ ก็ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้ตามที่เห็นสมควร หาทำให้ผู้ร้องมีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแต่อย่างใดไม่ เป็นเพียงทำให้ผู้ร้องมีสิทธิได้ค่าทดแทนในกรณีหากปรากฏว่าผู้ร้องได้เสียสิทธิหรือเสื่อมเสียประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเท่านั้นซึ่งตามมาตรา 12 มีข้อยกเว้นอยู่ในวรรคสามว่า การยื่นคำร้องดังกล่าวมิให้ใช้บังคับแก่กรณีสิทธิในที่ดินที่บุคคลมีอยู่ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งก็หมายความว่า หากผู้ร้องเป็นผู้ที่มีสิทธิครอบครองในที่ดินหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องภายในกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้นใช้บังคับ ดังนั้น ตามฎีกาของจำเลยที่อ้างว่า ผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คน ได้ยื่นคำร้องตามมาตรา 12 ดังกล่าวแล้วนั้น และคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเป็นผลให้กรมป่าไม้จะต้องดำเนินการกันที่ดินพิพาทที่มีการคัดค้านดังกล่าวออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ได้ประกาศขึ้นภายหลังจึงเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน การที่คณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติได้มีมติให้กันที่ดินพิพาทออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงความเห็นของคณะอนุกรรมการเท่านั้นหามีผลตามกฎหมายในอันที่กรมป่าไม้จะต้องปฏิบัติตามเนื่องจากความเห็นของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะต้องเสนอให้คณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติพิจารณาก่อน เมื่อคณะกรรมการสำหรับป่าสงวนแห่งชาติยังไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าว จึงหามีผลผูกพันให้กรมป่าไม้ต้องปฏิบัติตามดังที่จำเลยได้กล่าวอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเดิมทั้ง 6 คนเป็นผู้ซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองหรือมีกรรมสิทธิ์อย่างใด ๆ ตามกฎหมายในที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ครอบครองเดิมในที่ดินพิพาททั้ง 6 คนดังกล่าว จำเลยจึงหามีสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่และความเห็นของคณะอนุกรรมการป่าสงวนแห่งชาติที่ให้กันที่ดินพิพาทออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติก็หามีผลลบล้างทำให้ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแต่อย่างใด ที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเทือกเขานาคเกิด เมื่อจำเลยเป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิอย่างใด ๆ ในที่ดินพิพาทและที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นที่ดินของรัฐประเภทป่าสงวนแห่งชาติที่สามารถนำมาปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 และกรมป่าไม้ได้ส่งมอบที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวให้แก่โจทก์นำไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 (4), 36 ทวิ แล้ว โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องจัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นของรัฐเสียก่อนตามที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจนำที่ดินพิพาทไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า โจทก์มีอำนาจเพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ที่ออกให้แก่จำเลยและฟ้องขับไล่จำเลยได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2536 เป็นแนวทางที่โจทก์ต้องใช้ปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและในการปฏิรูปที่ดิน เห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเท่านั้นซึ่งจะทำได้หรือไม่ได้เพียงใด ก็ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายในเรื่องนั้นบัญญัติไว้ ในกรณีเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ดังนั้นบุคคลใดจะมีสิทธิที่จะได้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 ก็ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายดังกล่าวกำหนด หาใช่จะถือตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแต่เพียงอย่างเดียวตามที่จำเลยอ้างในฎีกาแต่อย่างใดไม่ ซึ่งตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 4 บัญญัติความหมายของคำว่า “เกษตรกร” หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และให้หมายความรวมถึงบุคคลผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็นบุตรของเกษตรกรบรรดาซึ่งไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วย และตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2535 ข้อ 6 (6) ระบุว่า ต้องเป็นผู้ไม่มีที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเอง หรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เพียงพอแก่การประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ แสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและเกษตรกรผู้นั้นจะต้องไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพหรือต้องเช่าที่ดินของผู้อื่นประกอบเกษตรกรรม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยมีที่ดินของตนเองจำนวน 108 แปลง และจำเลยประกอบอาชีพอื่นนอกจากด้านการเกษตรโดยประกอบอาชีพค้าขาย มีหุ้นอยู่ในนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัด รวม 16 แห่ง จึงถือได้ว่าจำเลยมีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองและมีรายได้เพียงพอแก่การครองชีพแล้วและไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักแต่อย่างใด จำเลยย่อมขาดคุณสมบัติในการยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน การที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) เลขที่ 91 ในที่ดินพิพาทที่ออกให้แก่จำเลยจึงชอบแล้ว ถึงแม้ในตอนแรก โจทก์ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) ให้แก่จำเลยไปแล้ว แต่เมื่อมาตรวจสอบพบในภายหลังว่า จำเลยเป็นผู้ขาดคุณสมบัติดังกล่าวก็สามารถทำการเพิกถอนได้เนื่องจากจำเลยเป็นผู้ที่มีสิทธิที่จะได้หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก.) มาตั้งแต่ตั้น และเมื่อเพิกถอนการอนุญาตให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจำเลยไม่ยอมออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืนอ้างอิง http://deka2007.supremecourt.or.th/ และอีกหลายๆเวบครับ
คำพากษาที่ 4431/2550
บรรทัดไหนครับที่ศาลตัดสินว่าสุเทพผิด
ต้องให้ผมเริ่มตั้งแต่แรกเลยหรอครับ
ยังไงท่านน่าจะลองดูก่อนนะครับ ลองเริ่มจากหนังสือพิมพ์พวก ไทยรัฐ หรืออะไรพวกนี้ก็ได้
ถ้าไม่ได้จริงๆ ผมจะตอบให้อีกครั้งครับ
เริ่มแต่แรกเลยก็ดีครับ พอดีผมเกิดไม่ทันน่ะ
รอการให้ความรู้จากเจ้าของกระทู้ด้วยคนนะครับ
#92
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:42
ผมขอโทษ ที่ใช้คำพูดเรื่อง โง่ ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ แต่ผมคิดว่าคนเหล่านั้นเชื่อว่าผมไม่ได้มีเจตนาด่าพวกเค้าครับ ถ้าคิด ผมขออภัยครับก็ผมก็ไม่เลือกตั้งไงครับ ใครโกงใครเลว ใครชั่ว ผมก็ไม่เลือกคนธรรมดาคนนึง
จะลุกขึ้นมาทำอะไรด้วยตัวเอง คงเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด
ในฐานะของประชาชนธรรมดาของคุณสุเทพ
ย่อมมีสิทธิเรียกร้องในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูก
ที่เหลือ ก็แล้วแต่ว่าประชาชนคนอื่นๆ จะเห็นด้วยหรือไม่
หลายครั้งของการชุมนุม ก็พิสูจน์ไปบ้างกลายๆ
เสื้อแดงก็มีโอกาสพิสูจน์ความต้องการของประชาชน
ไม่ต่างกับคุณสุเทพนี่ครับ
ไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไป แสดงตัวกันออกมา
ผมพูดถึงการใช้สิทธิ์แสดงตัวสนับสนุนแนวคิดนะครับ
แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่คุณสุเทพบัญญัติ
เว้นแต่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
หรือไม่ก็เพื่อไทยทำลายตัวเอง
คุณล่ะ นอกจากกระทู้นี้แล้ว
เคยพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องในใจคุณหรือยัง
ถ้ายัง ผมแนะนำให้ทำครับ
ไม่แน่ ประชาชนเกินกว่า 10 ล้านคนอาจเห็นด้วยกับคุณ
ลองทำดูสิครับ
ส่วนจะสิบล้านหรือ หนึ่งล้านก็ไม่เป็นไรครับ
ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่ผมคิด กับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดมันไม่เหมือนกัน
แล้วสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกสี่ปีนี้ก็ถูกต้อง ไม่เดือนร้อนใคร ไม่ผิดกฎหมาย
แล้วคุณบอกให้อีกฝั่งออกมาบ้าง ถ้าอีกฝั่งออกมา ก็มีพวกๆของคุณนั้นแหละครับ มากล่าวว่าจะออกมาทำไม จ้างมา โง่ ควายแดง ขี้ข้าทักษิณ อะไรทำนองนี้
ดังนั้นคุณขะเรียกร้อยให้อีกฝ่ายออกมา โดยเมื่อเค้าออกมาก็ตามด่าเค้าเนี่ยหรอครับ
แล้วผมก็ใช้สิทธิของผม ตลอดอยู่แล้วครับ แล้วก็ไม่เคยขายเสียงด้วยครับ
อีกฝั่งถ้าออกมาแล้วแสดงความเห็นมารบฟัง ไม่มีใครว่าเลยครับแค่เวลาพูดต้องนึกถึงใจเขาใจเราด้วย ถ้าใช้คำพูดเชิงเสียดสี จะทำให้ขัดแย้งหนักกว่าเดิมอีกนะครับ
ทางกลับกัน ผมไม่เข้าใจ ว่าหลายๆกระทู้ก็เขียนว่าควายแดง หรือแม้แต่ในกระทู้ผมก็มี แล้วเป็นการด่าเจตนาชัดเจน ทำไมท่านถึงไม่พูดถึงเรื่องทำความขัดแย้งรุนแรงมากยิ่งขึ้นหล่ะครับ?
เพราะพวกเขาเข้ามาไม่ใช่เพื่อจะแลกเปลี่ยนข้อมูล เพียงแต่จะหาทางดิสเครดิส หรือก่อกวนมากกว่าครับ บางคนโดนแบนเป็นพันรอบ แบบที่คุณโดนเพราะเหตุผลนี้เลยครับ ถ้าอยากเขาพูดดีด้วย คุณต้องพูดดีกับเขาก่อนครับ
#93
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:44
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ตัวหนังสือ สีแดง คือจุดร่วม ของคุณกับผม
ตัวหนังสือ สีดำ คือจุดต่าง ของคุณกับผม
ความเห็นต่างระหว่างคุณกับผมคือ
ผมยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่จะโดดลงจากเรือที่กำลังจะจม
#94
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:46
ขณะนั้นนายชวน หลีกภัย เป็นนายก
มีโครงการแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดินให้กับเกษตรกร
นายสุเทพ แปรรูป “ที่ดิน” สปก 4-01 ที่จะต้องแจกเอกสารสิทธิ์ให้กับเกษตรกรไปให้กับ “ทศพร เทพบุตร” สามีของ อัญชลี วานิช เทพบุตร (อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ซึ่งขณะนั้นเป็น “เลขานุการ” ของ “นายสุเทพ” กว่า 98 ไร่ 1 งาน 7 ตารางวา คุ้นๆ กับสิ่งที่ทักกี้ทำไหมครับ
รวมไปถึง “บรรดาผู้มีอันจะกิน” เป็นจำนวนหลายร้อยไร่
วันที่ 17 เมษายน 2538 คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต
ได้มีมติเพิกถอนเอกสารในที่ดินส.ป.ก.ที่แจกให้นายทุน รวมทั้งนาย “ทศพร เทพบุตร” เพราะไม่ใช่เกษตรกร
ศาลชั้นต้น ยกฟ้อง
ศาลอุธร กลับคำตัดสิน ให้ยึดคืน
ศาลฎีกา ยืนตามศาลชั้นต้น
รายละเอียดกว่านี้ลองหาดูนะครับ
#95
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:50
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ตัวหนังสือ สีแดง คือจุดร่วม ของคุณกับผม
ตัวหนังสือ สีดำ คือจุดต่าง ของคุณกับผม
ความเห็นต่างระหว่างคุณกับผมคือ
ผมยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่จะโดดลงจากเรือที่กำลังจะจม
มันไม่ใช่การโดดลงธรรมดาครับ มันเหมือนคุมเรือ และเปลี่ยนทิศทางของเรือมากกว่า แน่นอน คุณบอกว่าข้างหน้าคือหายนะ คุณมองว่าทางที่คุณสุเทพจะพาไปคือทางออก แต่หลายๆคนซึ่งเค้าก็อยู่บนเรือเหมือนกัน เค้าไม่ได้มองแบบนั้น
แล้วการที่คุณเสี่ยงเพื่อให้คุณสุเทพคุมเรือ คุณถามคนอื่นๆ ที่อยู่ในเรือรึยัง
คุณไม่เห็นด้วยกับผมหรือครับ ถ้าจะทำการประชามติก่อน หรือทำอะไรให้เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า คุณถามคนอื่นๆแล้ว คนส่วนใหญ่เค้าบอกแบบนี้แหละดี
#96
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:51
ผมได้ดูช่องบลูสกาย
กำนันสุเทพผู้มีความชื่อถือ
ประกาศว่ามีคนมาร่วมชุมนุมประมาณ 5 ล้านขึ้นไป และมีคนที่เห็นด้วยที่อยู่บ้านแต่ไม่ได้ออกมาอีก 30 ล้านคนที่เห็นด้วย
ดังนั้นชัดเจนว่า คนที่เห็นด้วยกับการปฎิรูปในแบบของคุณสุเทพ มีคนสนับสนุนอย่างน้อย 35 ล้านคนขึ้นไป
ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณสุเทพไม่ตั้งพรรค หมู่มวลมหาประชาชนขึ้นมา เอาคนต่างๆ ที่คุณต้องการเอามาอยู่ในสภาประชาชนมาเป็นสมาชิก แล้วลงเลือกตั้งเพื่อให้ได้ความชอบธรรม แล้วหลังจากนั้นจะปฎิรูปอะไรก็ทำกันไป
จะอ้างว่ามีการซื้อเสียง แต่ในเมื่อมีคนสนับสนุนมากกว่า 35 ล้านคนขึ้นไป คราวที่แล้วเพื่อไทยชนะก็แค่ 15 ล้านเสียง ยังไงก็ชนะขาดลอยอยู่แล้ว
หรือว่า 35 ล้านเสียงแค่เรื่องโกหก?
ปล. ผมไม่ใช่ควายแดงนะครับ ไม่ชอบไอ้ทักษิณด้วย แต่จะตั้งสภาประชาชน ผมก็ประชาชนคนนึง ถามผมรึยัง
ปล2. ผมจบปริญญาแล้วครับ
ปล3. ขอคำตอบที่มีเหตุผลสร้างสรรค์นะครับ ให้สมกับที่เรียกตัวเองว่า คนที่มีความรู้ ฉลาด คนดี ไม่ใช้ความรุนแรง
เรื่องนี้ไม่ยาก ลองไปถามเฉลิมดูแล้วกัน มันรู้ทุกเรื่อง
"น้อมส่งเสด็จสู่พระนิพพาน"
#97
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:55
หาก นักการเมืองที่มีหัวใจทำเพื่อชาติ บ้านเมืองโดยแท้จริงแล้ว
ท่านต้องยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น
หากจะโดนล้างบางเพื่อให้นักการเมืองรุ่นใหม่ได้เติบโต หลังจากการปฏิรูป
RIP
ปล. ดูสิจะมีการแบ่งสีเหลืออีกไหม ถ้าไปแนวนี้ (ผมยอมรับว่ามันโหดนะแนวคิดนี้ )
#98
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:57
ขณะนั้นนายชวน หลีกภัย เป็นนายก
มีโครงการแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดินให้กับเกษตรกร
นายสุเทพ แปรรูป “ที่ดิน” สปก 4-01 ที่จะต้องแจกเอกสารสิทธิ์ให้กับเกษตรกรไปให้กับ “ทศพร เทพบุตร” สามีของ อัญชลี วานิช เทพบุตร (อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ซึ่งขณะนั้นเป็น “เลขานุการ” ของ “นายสุเทพ” กว่า 98 ไร่ 1 งาน 7 ตารางวา คุ้นๆ กับสิ่งที่ทักกี้ทำไหมครับ
รวมไปถึง “บรรดาผู้มีอันจะกิน” เป็นจำนวนหลายร้อยไร่
วันที่ 17 เมษายน 2538 คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตได้มีมติเพิกถอนเอกสารในที่ดินส.ป.ก.ที่แจกให้นายทุน รวมทั้งนาย “ทศพร เทพบุตร” เพราะไม่ใช่เกษตรกร
ศาลชั้นต้น ยกฟ้อง
ศาลอุธร กลับคำตัดสิน ให้ยึดคืน
ศาลฎีกา ยืนตามศาลชั้นต้น
รายละเอียดกว่านี้ลองหาดูนะครับ
สุเทพ แปรรูป ที่ดิน สปก เอาไปให้นาบ ทศพร อย่างไรหรือครับ
แล้วทำไมถึงไม่มีการฟ้องร้องเอาผิดในเรื่องนี้ กับ สุเทพ ล่ะครับ
ส่วนคำตัดสินต่างๆ ที่คุณยกมาเป็นการตัดสินว่าให้ทางนาย ทศพร และคนที่ถือครองโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบนั้นคืนที่ดินนี่ครับ
มันไม่ใช่คำตัดสินเกีย่วกับเรื่องที่สุเทพโกง
#99
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:58
ขณะนั้นนายชวน หลีกภัย เป็นนายก
มีโครงการแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดินให้กับเกษตรกร
นายสุเทพ แปรรูป “ที่ดิน” สปก 4-01 ที่จะต้องแจกเอกสารสิทธิ์ให้กับเกษตรกรไปให้กับ “ทศพร เทพบุตร” สามีของ อัญชลี วานิช เทพบุตร (อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ซึ่งขณะนั้นเป็น “เลขานุการ” ของ “นายสุเทพ” กว่า 98 ไร่ 1 งาน 7 ตารางวา คุ้นๆ กับสิ่งที่ทักกี้ทำไหมครับ
รวมไปถึง “บรรดาผู้มีอันจะกิน” เป็นจำนวนหลายร้อยไร่
วันที่ 17 เมษายน 2538 คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ตได้มีมติเพิกถอนเอกสารในที่ดินส.ป.ก.ที่แจกให้นายทุน รวมทั้งนาย “ทศพร เทพบุตร” เพราะไม่ใช่เกษตรกร
ศาลชั้นต้น ยกฟ้อง
ศาลอุธร กลับคำตัดสิน ให้ยึดคืน
ศาลฎีกา ยืนตามศาลชั้นต้น
รายละเอียดกว่านี้ลองหาดูนะครับ
คดีนี้เขาฟ้องใครครับ? คดีจบที่ศาลฎีกาแล้วสุเทพต้องโทษประการใดบ้างครับ ผมหาไม่เจอจริงๆ
#100
ตอบ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556 - 02:59
ผมยินดีมากนะครับ ว่าบรรยากาศ เริ่มเข้ามาสู่ภาพของการแลกเปลี่ยนความคิดมากยิ่งขึ้น
ตอบคุณ
CrazyDaimon
1 โกงครับ ไม่ได้โกงธรรมดา โกงมากด้วย
2 ตำรวจบ้านเรา ดีๆ ก็มีครับ แต่ปฎิเสธ ไม่ได้ ว่าเลวๆเยอะด้วยครับ
3 ต่างกัน แต่มากขึ้นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ ผมไม่เชี่ยวชาญ ขอผ่านนะครับ4 การเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ครับ
ถึงเวลารึยังที่ประเทศต้องปฎิรูป ถึงแล้วแน่นอนครับ ช้าไปแล้วด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้ ไม่เห็นด้วยับการปฎิรูปนะครับ ผมยินดีมากๆ ถ้าจำกำจัดนักการเมืองชั่วออกไปให้หมดแต่ที่ผมไม่เชื่อคือ ถ้าผมให้ กปปส นำโดยกำนันสุเทพมาเป็นผู้สรรหา คนมาปฎิรูปแล้วจะกำจัดปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้ครับ เนื่องจาก
1 คุณสุเทพเองและพรรคของท่าน ก็เคยโกงมาก่อน หลักฐานหาไม่ยากครับ สปก 4-01 ศาลตัดสินไปแล้ว ลองค้นดูได้ครับ
2 ผมไม่เชื่อจากใจจริงครับ ว่าถ้าคุณสุเทพ ปฎิรูป 1 ปีกว่าๆ แล้วจะสามารถทำให้ ไม่มีการใช้อำนาจ เล่นพรรคพวก ของตำรวจ
3 ผมไม่เชื่อว่า คุณสุเทพ และ กปปส จะทำให้ไม่มีช่องว่างของประชาชน ได้
4 ถ้ามีการตั้งรัฐบาลประชาชน ก็จะมีอีกสีหนึ่ง ออกมาต่อต้านแน่นอน จะน้อยหรือมากผมไม่ทราบ แต่มีแน่ๆ ไม่สงบแน่ๆครับ
5 ผมจึงอยากให้ลงมาเลือกตั้งไงครับ ถ้าส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยกับแนวคิดของคุณสุเทพ (ซึงตอนนี้ก็ยังไม่เคลียร์) ก็เลือกท่านมา เป็นการสร้างความชอบทำในการปรับเปลี่ยนกฎเกณในการบริหารประเทศ
ตัวหนังสือ สีแดง คือจุดร่วม ของคุณกับผม
ตัวหนังสือ สีดำ คือจุดต่าง ของคุณกับผม
ความเห็นต่างระหว่างคุณกับผมคือ
ผมยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่จะโดดลงจากเรือที่กำลังจะจม
มันไม่ใช่การโดดลงธรรมดาครับ มันเหมือนคุมเรือ และเปลี่ยนทิศทางของเรือมากกว่า แน่นอน คุณบอกว่าข้างหน้าคือหายนะ คุณมองว่าทางที่คุณสุเทพจะพาไปคือทางออก แต่หลายๆคนซึ่งเค้าก็อยู่บนเรือเหมือนกัน เค้าไม่ได้มองแบบนั้น
แล้วการที่คุณเสี่ยงเพื่อให้คุณสุเทพคุมเรือ คุณถามคนอื่นๆ ที่อยู่ในเรือรึยัง
คุณไม่เห็นด้วยกับผมหรือครับ ถ้าจะทำการประชามติก่อน หรือทำอะไรให้เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า คุณถามคนอื่นๆแล้ว คนส่วนใหญ่เค้าบอกแบบนี้แหละดี
เรือมันกำลังรั่วมากกว่า....
อีปู กู้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำโครงการประชานิยมฉิบหายวายวอดไปเท่าไหร่แล้ว
อีปูยังจะกู้ๆๆๆๆ อีกไม่รู้เท่าไหร่ในอนาคต ที่เห็นๆก็จะกู้อีก+ดอกเบี้ย 5.5ล้านๆ และยังไม่เห็นจุดจบที่จะกู้กันมาปรนเปรอฐานเสียงของตัวเอง
มันไม่ใช่เรือเปลี่ยนทิศ เรือมันรั่วใกล้จม ขืนปล่อยไว้อนาคตลูกหลานลำบากแน่ๆ
"น้อมส่งเสด็จสู่พระนิพพาน"
ผู้ใช้ 1 ท่านกำลังอ่านกระทู้นี้
สมาชิก 0 ท่าน, ผู้เยี่ยมชมทั่วไป 1 ท่าน และไม่เปิดเผยตัวตน 0 ท่าน