"เรดาร์" กองทัพอากาศไทย สามารถจับภาพสัญญาณได้ในคืนวันนั้น (02.00 น.) จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถประมวลภาพได้
เพื่อต่อจิ๊กซอว์นำไปสู่การสันนิษฐานอะไรได้หลายอย่างว่า เครื่องบินลำนี้น่าเกิดอะไรขึ้น...
ล่าสุด"ครูการบิน" นักบินไฟต์เตอร์ F-16 มือ 1 ของกองทัพอากาศไทย ที่ผ่านชั่วโมงการบินเครื่องบินรบมาอย่างโชกโชนกว่า
3 หมื่นชั่วโมงการบิน ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับหลายประเด็นในข้อสงสัย โดยเฉพาะ "เรดาร์" ในส่วน กองทัพอากาศไทย (ทอ.)
ที่สามารถจับภาพและนำไปสู่การชี้เบาะแส หรือนำไปเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการคลี่ปมปัญหาดังกล่าว
จับสัญญาณได้ชัดเจน
เนื่อง จากเหตุการณ์ครั้งนี้มีเงื่อนงำ และนำไปสู่ความน่าสงสัยในหลายประการ กองทัพอากาศ โดยเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง
ได้รับการประสานมาขอให้ช่วย เหลือในเรื่องข้อมูล โดยเฉพาะภาพของเครื่องบิน โบอิ้ง 200-777 เที่ยวบิน MH 370 ที่ "เรดาร์" ของ ทอ.
ไทยสามารถจับสัญญาณเครื่องบินลำนี้ได้ ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ในคืนวันที่ 8 มี.ค. แต่เนื่องจากเครื่องบินลำดังกล่าว ไม่ได้มีไฟลท์แพลน
มายังประเทศไทย แต่มีไฟลท์แพลนกับทางเวียดนาม จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางไทย เพียงแต่เรามีเจ้าหน้าที่มอนิเตอร์โดยตลอด และ
เครื่องบินลำนี้ก็ไม่ได้บินผ่านน่านฟ้าประเทศไทยเรา เพียงแต่เรดาร์เราสามารถจับสัญญาณได้ ในพื้นที่ทางภาคใต้ของไทย ช่วงบัตเตอร์เวอร์ธ
ซึ่งเป็นจังหวัดทางเหนือของมาเลเซียที่อยู่ใกล้พรมแดนทางใต้ของไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้สงสัยอะไรมาก จนนำไปสู่ปริศนาต่อมา
"มาเลย์" วอนให้ ทอ.ไทยช่วยดู "เรดาร์" ย้อนหลัง
กระทั่งเกิดเหตุการณ์ขึ้น และทางกองทัพอากาศมาเลเซีย ได้ขอร้องให้เราช่วยเปิดภาพเรดาร์ย้อนหลัง เพื่อกลับไปดู
จึงพบว่าเครื่องบิน MH 370 ลำนี้มีเงื่อนงำ น่าสงสัย โดยเมื่อเรดาร์เราจับสัญญาณภาพได้ แต่มีการบินย้อนกลับไปทางเดิม
ทางเจ้าหน้าที่เราจึงเดาไม่ออก แต่ประหลาดใจว่าทำไมเครื่องบินดังกล่าวจึงต้องบินย้อนกลับไปในทิศทางเดิม เท่านั้น
และบินต่อไปอีก จากนั้นสัญญาณก็หายไปจากจอเรดาร์ของกองทัพอากาศไทย
สิ่งบอกเหตุที่เกิดขึ้นคือ เครื่องบินเที่ยวบินนี้ตั้งใจไม่ให้เราเห็น หรือจับสัญญาณ และมีความตั้งใจเปิดสัญญาณเป็นช่วงๆ
และปิดสัญญาณ จึงสันนิษฐานว่าเพื่อไม่ให้ทางภาคพื้น หรือหอบังคับการบิน มีการติดต่อหรือจับสัญญาณได้
ซึ่งในเวลานั้นเกิดเหตุตอนตีสอง จึงไม่เอะใจ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยด้วย
เส้นทางการบิน ย้อนกลับลงทางใต้ มาเลเซีย รู้ดีที่สุด
จึงเชื่อว่าประเด็นที่เกิดขึ้น เรื่องนี้ทางประเทศมาเลเซียนั้นรู้ดีที่สุดว่าเครื่่องบินของเขาโดนอะไร แต่การที่ไม่พูดหมด
ไม่พูดประเด็นในข้อมูลที่รู้ จึงทำให้นานาชาติต้องเหนื่อย และเสียน้ำมันในการระดมค้นหาไปจำนวนมาก เดากันไป
แต่เมื่อเราดูจากจอเรดาร์ จึงทราบ แต่ที่น่าสงสัยมากที่สุด การบินย้อนกลับไป แล้วไปไหน จึงเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ
แต่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบเรา จึงเชื่อว่าทางกองทัพมาเลเซียรู้ดีที่สุดว่าโดนกระทำ แต่ไม่กล้าที่จะพูด จนเมื่อนานาชาติมารู้
ข้อมูลหลายอย่าง และข้อมูลจาก ทอ.ไทย จึงสามารถประมวล ปะติดปะต่อภาพจำลอง และสันนิษฐานภาพออกมาว่า
เครื่องบินลำนี้น่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยตุ๊กตาที่ตั้งว่า
1. เหตุระเบิดกลางทะเลนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะหากเกิดเรื่องนี้ขึ้น เรดาร์หอบังคับการการบินจะต้องจับสัญญาณได้ตลอด
2. ลงจอดสนามบินใด แล้วสังหารลูกเรือ ผู้โดยสาร ก็ไม่รู้จะเอาศพจำนวนหลายร้อยคนไปทิ้งไว้ที่ไหน
3. หากเป็นการลงฉุกเฉิน ก็จะต้องรู้เพราะเครื่องบินลำใหญ่ และสนามบินรันเวย์ที่รองรับจะต้องยาว และจะปิดข้อมูลข่าวสารไม่ได้
หรือหากมีสลัดอากาศจี้เครื่องบิน ก็เชื่อว่านักบินคงขัดขืน แต่ประเด็นสุดท้ายที่น่าจะเป็นไปได้ คือ "นักบิน" และ "ผู้ช่วยนักบิน"
ต้องมีส่วนร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ เพราะพยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อกับภาคพื้น
เชื่อว่าประเด็น "ไฮแจ๊ค" น่าสงสัยที่สุด
เมื่อมีการบินย้อนกลับไป โดยไม่มีการแจ้งหอบังคับการบิน และพยายามปิดเครื่องมือสื่อสาร จึงน่าสงสัยมากที่สุดว่า
ประเด็นนี้ตัวนักบินทั้งสองคนน่าสงสัย ที่จะทำการก่อการเอง เพราะการหายไปจากจอเรดาร์ โดยใช้เพดานการบินต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยง
การตรวจจับ และการปิดวิทยุสื่อสาร จึงมีพฤติกรรมส่อไปในทางที่เข้าข่ายการ "ไฮแจ๊ค" มากที่สุด และเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสนใจ
และชี้ประเด็นไปในทางเดียวกันมากที่สุด โดยเฉพาะการบินข้ามหัวประเทศไทย และเรดาร์เราสามารถจับภาพได้ถึง 3 ตัว จนมีการแท็กภาพ
ออกมา แต่ทำไมมาเลเซียจึงไม่พูดความจริง เมื่อปรากฏหลักฐานออกมา มาเลเซียจึงต้องจำยอม และบอกกับนานาชาติ จึงกลาย
เป็นปริศนา เขย่าขวัญโลกของการบินที่ชวนติดตามแทบไม่กะพริบตา
สื่อบางแขนงคิดไปไกล ถึงขั้นว่ามีสามเหลี่ยมนรกเกิดใหม่ใกล้ประเทศมาเลเซีย เหมือนสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ที่เครื่องบินผ่านไป
เป็นต้องหายไปอย่างลึกลับ เพราะการระดมกันค้นหาจากนานาชาติกว่า 12 ประเทศ ร่วมถึงกองทัพเรือไทยอย่างเข้มข้นแบบสแกนพื้นที่
กว่า 9.3 หมื่นตารางกิโลเมตร ทั่วน่านน้ำทะเลจีนตอนใต้ และอันดามัน แบบเต็มที่แต่ก็ยังไร้ซึ่งปาฏิหาริย์อยู่ดี จนกระทั่งมาเลย์ต้องถูก
ทุกฝ่ายกดดันอย่างหนักในเรื่องข้อมูล
หากเป็นเครื่องบินรบ จะถูกสอนให้หลบสัญญาณเรดาร์ (สเตลธ์)
"นักบินรบ ทุกคน เมื่อขึ้นทำการบิน ไม่ว่าจะบินชนิดใด รุ่นใด ในภาวะการสู้รบ จะต้องหลบหลีกแบบล่องหน หรือ "สเตลธ์" ให้ได้มากที่สุด การบินหลบเรดาห์
เพื่อให้จับภาพให้ได้ยาก หรือจับภาพได้ก็จะต้องใกล้ที่สุด จึงเป็นความท้าทายของนักบินเอง ปรัชญาของนักบินจึงเข้าข่าย เมื่อข้าศึกเห็นในระยะ 50 ไมล์
ก็ถือว่าพลาดแล้ว แต่เรดาร์สมัยนี้ก็มีประสิทธิภาพสูงมาก เพื่อต่อกรกับเครื่องบินรบให้ได้ เมื่อเครื่องบินพยายามหลบเรดาร์ ก็มีการสร้างเรดาร์ที่ทรงประสิทธิภาพ
ในการจับภาพได้อย่างแม่นยำ แบบขั้นสูง เพราะเครื่องบินถือเป็นก้อนเหล็ก เมื่อขึ้นไปก็หลบเรดาร์ได้ยากเช่นเดียวกัน"
http://www.thairath....tent/pol/410626
จากข้อเท็จจริงเรดาร์ ของ ทอ.ไทย น่าเชื่อได้ว่า เครื่องบินย้อนกลับจริงๆด้วย คราวนี้ถ้าไม่จอดอยู่มหาสมุทรอินเดีย ก็อยู่ในมาเลเซียล่ะมั้ง
ก็ ทอ.บอกว่าเครื่องบินไม่ได้ผ่านน่านฟ้าไทยแน่นอน จากที่อ่านมา เหมือนมาเลเซียงุบงิบๆๆๆ อะไรสักอย่าง