ถ้าคิดเอาคืน ตร ไม่ควรเอาคืนซึ่งหน้า..เพราะอาวุธมันดีกว่าเรา แถมมันทำร้ายมันไม่ผิดกฏหมาย แต่เราทำร้ายมันผิดกฏหมาย...
ถ้าเอาคืน ต้องหาโอกาส หาจังหวะ เก็บทีละราย...ทยอยเก็บ...
หลังเสร็จงานนี้ พวกตำรวจอยู่ไม่สุขแน่
- ตะนิ่นตาญี likes this
Abraxas hasn't added any friends yet.
Posted by Abraxas
on 26 December 2013 - 22:17
ถ้าคิดเอาคืน ตร ไม่ควรเอาคืนซึ่งหน้า..เพราะอาวุธมันดีกว่าเรา แถมมันทำร้ายมันไม่ผิดกฏหมาย แต่เราทำร้ายมันผิดกฏหมาย...
ถ้าเอาคืน ต้องหาโอกาส หาจังหวะ เก็บทีละราย...ทยอยเก็บ...
หลังเสร็จงานนี้ พวกตำรวจอยู่ไม่สุขแน่
Posted by Abraxas
on 26 December 2013 - 20:12
ไม่แปลก....ถ้านี่คือชายแดนใต้โมเดล เล่นแรงแล้วสนุกกันใหญ่ นะนายจ๋า
เมื่อไหร่จะเอาคืน เห็นแล้วของขึ้น ไอ้พวกพวกตะกวดเฮี้ยๆ
ตำรวจโคตรเลวจริงๆ
ต่อไปตำรวจถูกยิงทิ้งรายวันแน่
ยิงเสร็จ แฝงตัวไปกับฝูงชน
ประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ
ตำรวจต้องถูกปฏิรูป
Posted by Abraxas
on 26 December 2013 - 17:31
ถ้าเบอร์ 12 นี่คือกระสุนลูกปรายของปืนลูกซองหรือเปล่าครับ
ปืนที่ใช้ยิงกระสุนยางก็คือปืนลูกซองอยู่แล้ว เปลี่ยนกระสุนยางเป็นกระสุนปืนลูกซองแปปเดียวเท่านั้น
ก็เอาครับ ไม่กลัวอยู่แล้ว เลิกงานแล้วจะไปสมทบทันที
ระวังตัวด้วยนะครับท่าน
Posted by Abraxas
on 26 December 2013 - 17:12
Aum Sky Exits
บิดเบือน โกหก อีกแล้ว สื่อแดง #thaiuprising
ํyes 5 เขาหนีแกสน้ำตาโว้ยยย ขึ้นละแมร่งงงง
เพจแบบนี้เป็นอันตรายต่อสังคมมาก
บิดเบือน ทใส่ร้ายป้ายสี ทำยังไงดีถึงจะจัดการได้
อย่ามาอ้างว่าใช้ชื่อโกหกทีวี แล้วจะโกหกบิดเบือนอะไรก็ได้
Posted by Abraxas
on 26 December 2013 - 00:46
มีใครไปบอกให้ตำรวจทำตัวเป็นตะกวดมั้ย
ทำตัวเองทั้งนั้น
Posted by Abraxas
on 25 December 2013 - 22:53
การแชร์ในเฟซบุ๊คเนี่ย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ กปปส.และการชุมนุม
ผมเคยเตือนเพื่อนๆ ในเฟซ ว่าระวังจะเงิบ
เค้าก็ตอบ เดี๋ยวลองเช็คดูให้ แต่ว่าเราต้องดึงมวลชนเอาไว้
Posted by Abraxas
on 25 December 2013 - 22:12
อยากให้เพื่อนๆ ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยในปี ๒๕๐๐ เพื่อเป็นแนวทางว่าเราจะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ได้หรือไม่ ทุกท่านจะให้คำตอบแก่ตัวเองได้ มาดูกัน
สาเหตุของการรัฐประหารสืบเนื่องจากความแตกแยกกันระหว่างกลุ่มทหาร ที่นำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก กับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ ที่ค้ำอำนาจของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม
การเลือกตั้งทั่วไปที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ไม่อาจทำให้ประชาชนยอมรับในผลได้ เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่นับได้ว่ามีการโกงกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ ใช้เครื่องบินโปรยใบปลิวโจมตีฝ่ายตรงข้าม ข่มขู่ชาวบ้าน ประชาชน ให้เลือกแต่ผู้สมัครของพรรคเสรีมนังคศิลา ของรัฐบาล หรือ การเวียนเทียนมาลงคะแนน การสลับหีบบัตร การแอบหย่อนบัตรคะแนนเถื่อนเข้าไปในหีบ และต้องใช้เวลานับคะแนนกันนานถึง 7 วัน ด้วยกัน ผลการเลือกตั้ง พรรคเสรีมนังคศิลา ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เสียงข้างมาก ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคฝ่ายค้านคู่แข่งได้เพียง 2 ที่นั่ง เท่านั้นในจังหวัดพระนคร และธนบุรี และทั่วประเทศได้เพียง 30 ที่นั่ง
2 มีนาคม นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและประชาชนร่วมกันเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้ง มีการลดธงเหลือแค่ครึ่งเสาเป็นการไว้อาลัย และเรียกร้องให้ พล.อ.ท.มุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษฎ์ ซึ่งเป็น ส.ส.สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา ลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จอมพล ป. นายกรัฐมนตรี สั่งประกาศภาวะฉุกเฉิน และแต่งตั้งให้ จอมพลสฤษดิ์ เป็นผู้ปราบปรามการชุมนุม แต่เมื่อฝูงชนเดินทางมาถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์แล้ว จอมพลสฤษดิ์กลับเป็นผู้นำเดินขบวน พาฝูงชนข้ามสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยกล่าวว่า ทหารจะไม่มีวันทำร้ายประชาชน และเมื่อถึงหน้าทำเนียบรัฐบาลได้เป็นผู้เปิดประตูทำเนียบ นำพาประชาชนเข้าพบ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จนกระทั่งจอมพล ป. ต้องลงมาเจรจาด้วยตนเองที่บันไดหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อได้เจรจากันแล้ว จึงได้ข้อสรุปว่า จอมพล ป. ยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ชอบมาพากลและจะจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ จึงได้พูดผ่านโทรโข่งขอให้ผู้ชุมนุมสลายตัวไปอย่างสงบ และขอให้อัญเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสาตามปกติ ซึ่งก็ได้เป็นไปตามอย่างที่ จอมพลสฤษดิ์ ร้องขอทุกประการ ซึ่งการเดินขบวนประท้วงครั้งนี้นับเป็นการชุมนุมทางการเมืองเป็นครั้งแรกของประชาชนชาวไทยนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา
ในส่วนของ จอมพลสฤษดิ์ ที่ได้มีท่าทีเช่นนี้ นับว่าได้สร้างความนิยมขึ้นอย่างมากในหมู่ประชาชน แต่ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ท้าทายอำนาจจอมพล ป. เพราะหลังจากนี้ จอมพลสฤษดิ์ยังได้ประกาศด้วยตนเองผ่านทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเป็นนัยทิ้งท้ายโดยกล่าวถึงผู้ชุมนุมที่ผ่านมาว่า "แล้วพบกันใหม่ เมื่อชาติต้องการ" จึงทำให้มีความแตกแยกและหวาดระแวงกันเองระหว่าง ฝ่ายทหารที่สนับสนุน จอมพลสฤษดิ์ และฝ่ายทหารและตำรวจที่สนับสนุน จอมพล ป.
สภาพโดยทั่วไปแล้วในเวลานั้น บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะของความวุ่นวาย นักเลง อันธพาล อาละวาดป่วนเมืองราวกับไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทั้งนี้ เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ที่เหล่าอันธพาลสามารถกระทำการได้โดยได้ใจนั้น เป็นเพราะมีตำรวจ โดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจให้การสนับสนุนอยู่ และจากนั้นมา ทหารและตำรวจก็เกิดความแตกแยกกัน โดยไฮปาร์คโจมตีกันบนลังสบู่ที่ท้องสนามหลวงสลับกันวันต่อวัน ในบางครั้ง ทหารชั้นประทวนก็ยกพวกล้อมสถานีตำรวจจนเกิดเหตุทำร้ายร่างกายตำรวจบ้าง แต่ก็ไม่เกิดเหตุรุนแรงมากไปกว่านั้น
14 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิด 60 ปี ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าอวยพรวันเกิดและนำลูกสุนัขตัวหนึ่งมอบให้เป็นของขวัญ พร้อมกล่าวว่าจะจงรักภักดีต่อจอมพล ป. เช่นเดียวกับสุนัขตัวนี้ เพื่อเป็นการสยบความขัดแย้ง
15 กันยายน จอมพล ป. หลังกลับจากเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เมื่อมีสื่อมวลชน โดยนายทองใบ ทองเปาด์ ได้ถามว่า มีความขัดแย้งกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจริงหรือไม่ เพราะก่อนหน้านั้นในงานฉลองกึ่งพุทธกาล และงานวิสาขบูชา ที่ทางรัฐบาลได้จัดเป็นงานครั้งใหญ่ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มิได้เสด็จมา จึงทำให้มีการวิจารณ์ไปทั่วว่า รัฐบาลมีความขัดแย้งกับทางพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ทางจอมพล ป. ได้ปฏิเสธและไม่ขอตอบคำถามต่อ และได้รีบขึ้นรถยนต์จากไป ต่อมาทางด้าน จอมพลสฤษดิ์ และคณะนายทหารในบังคับบัญชา ได้มีแถลงการณ์ขอให้ จอมพล ป. ลาออก และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด ซึ่งหลังจากแถลงการณ์อันนี้ออกมาแล้ว มีรายงานที่เชื่อถือได้ว่า สมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลาเสนอให้ จอมพล ป. จัดการอย่างเด็ดขาดกับ จอมพลสฤษดิ์ และกลุ่มทหารในวันพรุ่งนี้ เท่ากับเป็นการบีบบังคับให้ จอมพลสฤษดิ์ ตัดสินใจอย่างแน่นอนในการทำรัฐประหารเพื่อเป็นการตัดหน้า
การรัฐประหารเกิดขึ้นในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 พล.ท.ประภาส จารุเสถียร แม่ทัพภาคที่ 1 ใช้รถถัง รถหุ้มเกราะและกำลังพล กระจายกำลังออกยึดจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เช่น หอประชุมกองทัพบก ที่ถนนราชดำเนินนอก เป็นต้น ในส่วนของ กองบัญชาการตำรวจกองปราบ ที่สามยอด ซึ่งเป็นที่บัญชาการของ พล.ต.อ.เผ่า ได้รับคำสั่งให้ยึดให้ได้ภายใน 120 นาที ก็สามารถยึดได้โดยเรียบร้อย โดย ร.ท.เชาว์ ดีสุวรรณ ในขณะที่ พล.จ.กฤษณ์ สีวะรา รองแม่ทัพภาคที่ 1 พ.ท.เอิบ แสงฤทธิ์ พ.ต.เรืองศักดิ์ ชุมะสุวรรณ พ.อ.เอื้อม จิรพงษ์ และ ร.อ.ทวิช เปล่งวิทยา ได้นำกำลังกระทำยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า "เข้าตีรังแตน" โดยนำกองกำลังทหารราบที่ 1 พัน 3 บุกเข้าไปยึดวังปารุสกวัน ซึ่งเป็นกองบัญชาการตำรวจนครบาล จากนั้นจึงติดตามด้วยกองกำลังรถถัง ในขณะที่กองทัพเรือ พล.ร.อ.หลวงชำนาญอรรถยุทธ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งวิทยุเรียกเรือรบ 2 ลำ ยึดท่าวาสุกรี และส่งกำลังส่วนหนึ่งยึดบริเวณหน้าวัดราชาธิวาส เพื่อประสานงานยึดอำนาจ จนกระทั่งการยึดอำนาจผ่านไปอย่างเรียบร้อย
ขณะที่ฝ่าย จอมพล ป. พิบูลสงคราม รู้ล่วงหน้าก่อนเพียงไม่กี่นาที จึงตัดสินใจหลบหนีโดยไม่ต่อสู้ โดยเดินทางไปโดยรถยนต์ประจำตัวนายกรัฐมนตรียี่ห้อฟอร์ด รุ่นธันเดอร์เบิร์ด พร้อมกับคนติดตามเพียง 3 คน เท่านั้นคือ นายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขานุการส่วนตัว พ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจติดตามตัว และ พ.ท.บุลศักดิ์ วรรณมาศ ทั้งหมดได้หลบหนีไปทางจังหวัดตราด และว่าจ้างเรือประมงลำหนึ่งเดินทางไปที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา ก่อนลงเรือ จอมพล ป. ได้ให้ พ.ท.บุลศักดิ์ นำรถไปคืนสำนักนายกรัฐมนตรี และเข้าพบหัวหน้าคณะปฏิวัติ คือ พล.อ.สฤษดิ์ ว่า ทั้ง 3 ได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว ขออย่าได้ติดตามไปเลย
ขณะที่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ยังมิได้หลบหนีไปเหมือนจอมพล ป. แต่ถูกควบคุมตัวเข้ากองบัญชาการคณะปฏิวัติ พร้อมกับกล่าวว่า "อั๊วมาแล้ว จะเอายังไงก็ว่ามา" แต่ในวันรุ่งขึ้น พล.ต.อ.เผ่า ก็ถูกบีบให้เดินทางออกนอกประเทศไป จนในที่สุด ก็เสียชีวิตที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2503
การรัฐประหารในครั้งนี้ นับเป็นการรัฐประหารอีกครั้งที่ผลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยไปโดยสิ้นเชิง เพราะนับเป็นการขจัดฐานอำนาจเก่าของจอมพล ป. พิบูลสงคราม อย่างเด็ดขาด และหลังจากนั้น อำนาจทั้งหมดก็ตกอยู่ที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ต่อมาก็ได้กระทำการรัฐประหารอีกครั้งในวันที่ 20 ตุลาคม ในปีต่อมา เมื่อไม่สามารถควบคุมความวุ่นวายในสภา ฯ ได้ และเป็นที่มาของการใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ตามรัฐธรรมนูญมาตราที่ 17 ที่มอบอำนาจให้นายกรัฐมนตรีสามารถส่งการให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อผู้ที่กระทำการเป็นปรปักษ์ต่อความมั่นคงของรัฐได้ทันที
ในส่วนของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หลังจากหลบหนีไปทางกัมพูชาแล้ว ก็ลี้ภัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 3 เดือน จากนั้นจึงเดินทางไปบวชที่วัดไทยพุทธคยาประเทศอินเดีย อุปสมบท ณ วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2503 และขอลี้ภัยการเมืองเข้าประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ณ ที่นั่น จอมพล ป. และครอบครัวได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากรัฐบาลญี่ปุ่น เนื่องจากญี่ปุ่นถือว่าจอมพล ป. มีบุญคุณต่อประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นผู้อนุมัติให้ทหารญี่ปุ่นสามารถยกพลเข้าสู่ประเทศไทยได้โดยง่ายดาย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ทหารญี่ปุ่นจำนวนมากมิต้องล้มตาย และจอมพล ป. ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบ ๆ ที่บ้านพักย่านชานกรุงโตเกียว จนกระทั่งถึงแก่กรรม ในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507 ด้วยอายุ 67 ปี ต่อมา ครอบครัวได้ทำการฌาปนกิจที่นั่น และนำอัฐิกลับสู่ประเทศไทยในวันที่ 27 มิถุนายน ปีเดียวกัน ท่ามกลางพิธีรับจากกองทหารเกียรติยศจากทั้งกองทัพบกและกองทัพอากาศ ตามนี้
หักเหลี่ยมกันดี น่าเอามาสร้างเป็นหนังนะครับ
Posted by Abraxas
on 25 December 2013 - 20:57
ถ้าวันไหนกำนันสุเทพเลิกโหมดอหิงสา ผมขอเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังติดอาวุธครับ แก่แล้วแต่มีประสพการณ์ในการใช้อาวุธ ทั้งอาวุธสงครามไม่สงคราม รวมๆแล้วก็ยี่สิบปี ไม่ต้องฝึกให้เสียเวลา แบบว่าอยากสอยแกนนำควายแดงซักพวง
ส่วนไอ้ขี้ยาเสพ โลโซ สงสัยเงินหมด คงกำลังหาตลาดใหม่ๆ อย่าไปให้ราคามัน
ฝีมือก็คงหมดไปด้วยรึเปล่า
Posted by Abraxas
on 25 December 2013 - 20:35
แล้วไอ่เห รี้ยนี่ กองทัพจะว่าไง
![]()
ตำรวจเก่งๆแบบนี้น่าจะส่งไปอยู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้นะ
โจรใต้แมงคงกลัวหัวหดจนไม่กล้าออกมาปฏิบัติการ
ลงไปพร้อมกับลูกไอ้เหลิมท่าจะดีนะ เห็นว่าแม่นปืน
Posted by Abraxas
on 25 December 2013 - 20:29
เห็นด้วยครับ เป็นการสร้างกลุ่มชนชั้น อารยะ ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไร ยิ่งถ้าเป็นไปได้ควรหาวิธีดึงมวลชนกลุ่มตรงข้ามมาฟังความจริง ให้ความรู้และข้อมูล เพิ่มมวลชนดีกว่าครับ และอย่าทิ้งมวลชน ถึงแม้ว่าเค้าจะถูกจ้างมารึไม่http://www.manager.c...D=9560000158161 (ข่าวสองสาวโร่ทำพิธีขอขมาที่ สตช เนื่องจากถูกยิงใส่บ้านกับรถ)
http://www.manager.c...D=9560000158129 (ข่าวสาวทอมโร่แจ้งความถูกตำรวจคุกคาม)
เห็นสองข่าวนี้ไหมครับ?
นี่คือสัญญาณว่าเรากำลังจะยอมสยบต่ออำนาจมืดครับ
โดยเฉพาะการกระทำของตำรวจ เพราะงานนี้ ฝีมือตำรวจแน่ๆ
ผมไม่ได้จะมาบอกให้สองสาว กับหนึ่งทอม ยืนหยัดซัดกับตำรวจนะครับ
แต่ผมกำลังจะบอกว่าพวกเราเพิกเฉยและไม่นำพากับการถูกคุกคามของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของพวกเราเลย
ไม่รู้สินะครับ แต่ผมมองว่าถ้าเป็นเราถูกคุกคามในลักษณะนี้บ้าง แต่ไร้การดูแลช่วยเหลือใดๆ เราจะรู้สึกกันอย่างไร
เป็นไปได้ไหมครับ ว่า กปปส หรือ คปท ควรจะตั้งศูนย์หรือหน่วยงานในกรณีถูกคุกคามแบบนี้ ไม่ใช่พอถึงเวลา ก็ต้องหันหน้าไปหาตำรวจ
ผมรู้สึกว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นว่าถึงเวลาเราออกมาสู้ด้วยกัน แต่พอถูกไล่ทุบไล่ตี ก็ตัวใครตัวมัน
ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลยครับ และที่สำคัญยิ่งเป็นแบบนี้ พวกมันยิ่งได้ใจ มีอีกแน่ๆครับโดนคุกคามในลักษณะนี้
เห็นด้วยครับ ควรสร้างกลุ่ม "เจออตำรวจชั่ว บอกด้วย คล้ายๆ "ที่ไหนมีด่านบอกด้วย"
ต้องช่วยกันเผยแพร่และประจานสันดานของตำรวจเลวๆ
Posted by Abraxas
on 25 December 2013 - 18:37
ภาพจากสมาชิกท่านหนึ่งเอามาจากพันทิปครับ ยิ่งเละเอ๊ยไปบอกเสื้อแดง และพวกทำป้ายบ้าบอพวกนี้หยุดก่อนเถอะครับ ปากว่าตาขยิบแบบนี้ อย่าไปตั้งสภาปฏิรูปบ้าบอเลยครับ!!
บิดเบือนเป็นงานถนัดของพวกมัน บวกกับทีมทางเน็ตของมัน
แถวตลาดบ้านผม ปกติแดงเพียบ มีป้ายโจมตี ปชป. หรือโจมตีฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ติดอยู่ตามร้านค้า
แต่วันนี้ไปเดินตลาด พยายามมองหาป้ายของพวกเสืแอ้แดง หรือเพื่อไทย ยังไมเห็นเลยซักป้าย
เอ๊ะ หรือว่ายังมาไม่ถึงนะ
Posted by Abraxas
on 25 December 2013 - 18:31
คอยดูตำรวจจะโดนหยามมากว่านี้อีก
ไอ้พวกตำรวจชั่วจะได้ถูกปฏิรูปซะที
Posted by Abraxas
on 25 December 2013 - 18:29
Community Forum Software by IP.Board 3.4.6
Licensed to: serithai.net