Jump to content


baezae

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 18 กุมภาพันธ์ 2553
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2556 07:09
-----

#670311 วิพากษ์ความเห็นของนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์

โดย baezae on 7 เมษายน พ.ศ. 2556 - 07:40

ตรรกะ "เสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง" ของด๊อกฯ นี่ ป่วยมากครับ ไม่ว่าจะใช้กับสถานการณ์ไหนก็ตาม

 

ที่ถูกคือ เสียงส่วนใหญ่นั้นจะถูกต้องได้ ต้องมีความชอบธรรม มีคุณธรรม และมีจริยธรรม

 

ถ้าเอาแค่เสียงส่วนใหญ่แล้วถูกต้องเลย มีพระ ๑ รูปอยู่ในกลุ่มโจร ๕ ตัว กลุ่มโจรบอกจะไปปล้นข่มขืน พระบอกอย่าเลยมันบาป สรุปแล้วโจรมันไปปล้นข่มขืน กลุ่มโจรนี้ถูกต้องหรือเปล่า?

 

หรือหมา ๒ ฝูงกัดกัน หมาที่พวกเยอะกว่ากัดชนะ มันแปลว่าหมาฝูงที่เยอะกว่าเป็นฝ่ายถูกหรือเปล่า?

 

เสียง ๑๕ ล้านเสียงบอกไอ้หน้าเหลี่ยมเป็นเทวดาควรได้รับอภัยโทษ แต่มันเป็นผู้ต้องหาที่ผิดตามกฎหมาย ตัดสินโดยตุลาการ ๘ ท่าน สรุปตุลาการผิด เสียง ๑๕ ล้านถูก?

 

ถ้าตรรกะด๊อกฯ ป่วยแบบนี้ ผมค่อนข้างกังขากับปริญญาของด๊อกฯ มากครับ เพราะศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต น่าจะส่งเสริมการใช้ตรรกะที่มีที่มีที่มาอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ออกมาพิการ ๆ แบบที่ด๊อกฯ พ่นออกมา




#670254 โกหกซ้ำซาก! ผอ.สนข.แฉเอง รถไฟความเร็วสูงเฟสแรกไปแค่... พิษณุโลก...

โดย baezae on 7 เมษายน พ.ศ. 2556 - 03:22

ถ้าค่าโดยสารที่ประเมินจาก กทม. ไปเชียงใหม่คือ ๑๗๐๐ กว่าบาท ด้วยระยะทาง ๗๐๐ กม. (จริง ๆ ต้องมากกว่านี้ เพราะ๑๗๐๐ คือคิดจากค่าบริหารจัดการ ยังไม่รวมที่ลงทุนเรื่องราง รถ ฯลฯ)

 

ด้วยระยะทาง กทม. ไปพิษณุโลกคือ ๓๙๘ กม. ราคาก็จะอยู่ที่ราว ๆ ๙๐๐ บาทต่อเที่ยว

 

ทุกวันนี้ ราคารถไฟสปรินเตอร์ ราคาราว ๔๐๐ บาท วันธรรมดาที่นั่งว่างเยอะกว่าคนนั่งราว ๒ เท่า ส่วนใหญ่จะไปที่รถทัวร์ ราคาที่ ๓๐๐ บาทโดยประมาณ (แถมมีออกทุกชั่วโมง) ส่วนเครื่องบินโลว์คอสต์ ราคาที่ราว ๑๒๐๐ บาท คนก็ไม่ค่อยจะเต็ม ส่วนใหญ่จะครึ่งลำ

 

ไม่ทราบจะเอาตรงไหนไปนั่งรถไฟความเร็วสูง?

 

ไม่พอ ถ้าวิ่งเฉพาะ กทม. พิษณุโลก ๒ สถานี ยังไงก็ต้องใช้เวลาราว ๒ ชั่วโมงถึง คนก็จะขึ้นน้อย เพราะถ้าต้องไปต่อรถอีก เสียค่าใช้จ่ายเดินทางเพิ่มอีกไปอีกทบ ก็ไม่ใช่เรื่อง

 

แต่ถ้าจะหยุดรายทางตามสถานีใหญ่ ๆ เช่น อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร เป็นต้น ก็จะต้องเพิ่มเวลาไปอีกราว ๑ ชั่วโมง เป็น ๓ ชั่วโมง ในขณะที่ปัจจุบัน รถทัวร์วิ่งราว ๔ ชั่วโมงครึ่ง แต่ค่าเดินทางถูกกว่าเป็น ๑ ใน ๓ หรือกว่านั้น

 

ใครจะไปขึ้นรถไฟความเร็วสูง? แล้วจะเอาเงินจากเฟสแรกตรงไหนไปสร้างต่อ?

 

รัฐบาลว่าโง่แล้ว ไอ้พวกหน้ามืดตามัวสนับสนุน ยิ่งโง่กว่า




#668157 ทำไมทหารไทยฝีมือ "ห่วย" จังครับ งบทหารปีละเป็นแสนๆ ล้าน มันไปทำอะไร

โดย baezae on 4 เมษายน พ.ศ. 2556 - 23:38

ทหารไทยห่วยจะแย่อยู่แล้วครับ

 

กระสุนเป็นแสน ๆ นัด ดันยิงโดนควายตายได้ไม่กี่สิบตัว ศพให้แห่ก็เลยไม่เยอะ ต้องเหมาเอาทหาร คนป่วยในโรงพยาบาลไปนับให้มันเยอะ ๆ ด้วย

 

เป็นทหารประเทศอื่นนะ แค่เอาไม้ไล่ตีก็ร่วงเป็นร้อย

 

หรือเอาอย่างตำรวยก็ได้ แก๊ซน้ำตาที่ไม่น่าจะตาย ก็ยังอุตส่าห์เอาไอ้ที่หมดอายุ ยิงใส่ตรง ๆ ให้ล้มให้ตายได้

 

ห่วยมาก ทหารไทย




#663820 **โดนสิงราชดำเนินกล่าวหาว่าบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีเสื้อแดง (กรณีย้ายผู้ป่วย รพ....

โดย baezae on 1 เมษายน พ.ศ. 2556 - 05:15

ก่อนหน้านั้น   ผู้มีอำนาจยุบสภาไปเสีย  ก็จบแล้ว

ล้างไพ่เลือกตั้งใหม่  คลี่คลายความวุ่นวาย     

พรรคที่ได้คะแนนมากสุดเท่านั้น ที่ควรได้มาบริหารประเทศ

 

ย้อนไป ก่อนหน้านั้น หาใครสักคนในพรรคเผาควายมาโหวตเป็นนายกต่อจากสมแต๋วก็จบแล้ว

 

เสือกชูประชาขึ้นมา

 

แต่เอ๊ะ ถ้าประชาได้รับเลือก ควายแดงจะออกมาชุมนุมเรียกร้องไหมหว่า ประชาเป็นพรรคเสียงส่วนน้อยนี่นา

 

๕๕๕๕๕




#662772 ความจริงที่เจ็บปวด : ทักษิณใช้หนี้ IMF ไปแค่ 30% แต่อ้างซะเต็มร้อย

โดย baezae on 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 10:07

เอาวิธีคิดง่าย ๆ โดยอิงตามปฏิทินงบประมาณของประเทศไทยก็ได้ จะได้ไม่งง

 

ตามที่ผมวางลิงค์ไว้ในหน้าแรกสุด จะเห็นว่า ปฏิทินงบประมาณกำหนดให้เริ่มมีการตั้งเรื่องพิจารณางบประมาณตั้งแต่เริ่มไตรมาสที่ ๑ และต้องจบไม่เกิน มค. คือต้นไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณเดียวกัน เพื่อให้งบประมาณของปีถัดไปเสร็จก่อนอย่างน้อยราว ๓ ไตรมาส

 

เช่น การตั้งงบของปี ๔๓ (เริ่ม ๑ ตค. ๔๒ ถึง ๓๐ กย. ๔๓) จะต้องตั้งให้เสร็จตั้งแต่ มค. ของปี ๔๒ การจ่ายหนี้ใด ๆ ที่จะมีขึ้นในปีงบประมาณ ๔๓ จะต้องมีการตั้งงบล่วงหน้าให้เสร็จสิ้นตั้งแต่ต้นปี ๔๒

 

และนั่นหมายความว่า รัฐจะต้องมีเงินทั้งหมด ๒ ขยัก คือ ๑. เงินที่จะต้องใช้จ่ายตลอดปี ๔๒ และ ๒. เงินที่จะต้องเตรียมไว้ใช้จ่ายในปี ๔๓

 

ดังนั้น การใช้เงินงบประมาณนั้น จะต้องไม่ใช่การใช้แบบ หาได้ปี ๔๒ ใช้ปี ๔๓ เพราะไม่งั้นจะไม่สามารถตั้งงบประมาณตั้งแต่ต้นปีแบบนี้ได้ เพราะยังไม่มีเงินในมือ และยังไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่า จะมีรายได้ขนาดไหน เท่าไร เพียงพอต่อการใช้หนี้ และใช้จ่ายอื่น ๆ หรือไม่ อีกทั้งพอต้นปีงบใหม่ หน่วยงานต่าง ๆ ก็เริ่มเบิกกันทันที (จริง ๆ เงินต้องมารอให้เบิกก่อนแล้วด้วย) จึงทำให้ งบของปี ๔๓ จะต้องเป็นเงินที่รัฐหามาได้ก่อนตั้งงบตอนต้นปี ๔๒ หรือก็คือ อีก ๑ ปีก่อนหน้านั้นเป็นอย่างน้อย

 

เมื่อพิจารณาตรงนี้แล้ว (ตรงนี้จะย้ำที่เคยพิมพ์ไปแล้วอีกที ใครขี้เกียจไม่อ่านก็ได้นะครับ) การใช้หนี้ของเราจะเป็นดังนี้

 

เงินที่ใช้หนี้ปี ๔๓ เป็นเงินที่หามาได้และเตรียมไว้จากรายได้ของปี ๔๑ (เป็นอย่างกระชั้นที่สุด)

 

เงินที่ใช้หนี้ปี ๔๔ เป็นเงินที่ได้มาจากรายได้ของปี ๔๒

 

เงินที่ใช้หนี้ปี ๔๕ เป็นเงินที่ได้มาจากรายได้ของปี ๔๓

 

เงินที่ใช้หนี้ปี ๔๖ เป็นเงินที่ได้มาจากรายได้ของปี ๔๔

 

ยิ่งถ้าเอามาประกอบกับรายละเอียดการใช้หนี้ตามเอกสารรายงานประจำปีอย่างเป็นทางการของไอเอ็มเอฟ จะยิ่งเห็นชัดถึงการใช้หนี้ของเราในแต่ละปี และถ้าเอามาคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ จะเห็นได้ว่า รัฐบาลไหนหาเงินมาเตรียมไว้จ่ายหนี้ร้อยละเท่าไร

 

ก็อย่างที่บอกไว้หน้าที่แล้ว จากวิธีการตั้งงบประมาณตามปฏิทิน และการจ่ายหนี้ตามรายงานอย่างเป็นทางการ ใครกันที่เป็นคนหาเงินมาจ่ายหนี้? และใครที่มาเอาหน้าแถมป้ายขี้คนอื่น?

 

เวร เกิน ๓ บรรทัดอีกละ




#662663 ความจริงที่เจ็บปวด : ทักษิณใช้หนี้ IMF ไปแค่ 30% แต่อ้างซะเต็มร้อย

โดย baezae on 31 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 05:51

แล้วรูปที่ห้าเอ็มแคปมาน่ะ ช่วยดูข้างล่างด้วยนะว่ามันมีข้อความว่า

 

The information provided is for your convenience and is not intended to replace other official IMF reports and statements.

 

http://www.imf.org/e...sition_flag=YES

 

หมายความว่า ตารางนี้เค้าสรุปมาให้ดูง่าย ๆ เป็นรวบยอดรายปี รายละเอียดที่ชัดเจนและถูกต้อง จะต้องไปดูในเอกสารรายงานประจำปีอย่างเป็นทางการ

 

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว งวดในการส่งเงินคืนระหว่างประเทศไทยกับ imf จะไม่ได้มีลักษณะ มค. ถึง ธค. ตามที่ตารางนั้นแสดงให้เห็น โดยหากอ้างตามเอกสารรายงานประจำปีแล้ว จำนวนเงินที่เค้านัับแต่ละรอบ จะเป็น พค. ถึง เมย.

 

ตายห่า เกิน ๓ บรรทัดอีกละ




#662348 ความจริงที่เจ็บปวด : ทักษิณใช้หนี้ IMF ไปแค่ 30% แต่อ้างซะเต็มร้อย

โดย baezae on 30 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 21:08

จากทั้งหมดกู้มา ๒.๗ พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ

 

เราแบ่งจ่ายดังนี้

 

ปี ๒๐๐๐ จ่ายคืน ๑๕๐ ล้าน บวกดอกเบี้ยอีก ๑๒๗ ล้าน (ชวน)

 

ปี ๒๐๐๑ จ่ายคืน ๑ พันล้าน บวกดอกเบี้ย ๙๗ ล้าน (เหลี่ยม)

 

ปี ๒๐๐๒ จ่ายคืน ๑ พันล้าน ดอกเบี้ย ๒๘ ล้าน (เหลี่ยม)

 

ปี ๒๐๐๑ จ่ายคืน ๒๘๗ ล้าน ค่าปรับ ๓ พันล้าน (เหลี่ยม)

 

http://www.imf.org/e...sition_flag=YES

 

อันนี้เค้าสรุปเป็นรายปี เพื่อความสะดวกในการตามข้อมูล

 

แต่ถ้าเข้าไปอ่านรายละเอียดของข้อมูลในรายงานประจำปี เราจะพบว่า

 

จากรายงานของปี ๔๓ ณ วันที่ ๓๐ เมษายน ใน ๑ รอบปีที่ผ่านมา (คือ ๑ พค. ๔๒ ถึง ๓๐ เม.ย. ๔๓) เราใช้หนี้ไป ๑๐๐ ล้านเหรียญ

 

๑ พค. ๔๓ ถึง ๓๐ เม.ย. ๔๔ ใช้คืนไป ๗๕๐ ล้านเหรียญ (ตอนนี้เหลี่ยมเพิ่งมาทำงานได้ ๒ เดือนยังไม่เต็ม)

 

๑ พค. ๔๔ ถึง ๓๐ เม.ย. ๔๕ ใช้คืนไป ๑ พันกับ ๗๕ ล้านเหรียญ

 

๑ พค. ๔๕ ถึง ๓๐ เม.ย. ๔๖ ใช้คืนไป ๙๑๓ ล้านเหรียญ

 

และจาก ๑ พค. ๔๖ ถึง ๓๐ เม.ย. ๔๗ ใช้คืนอีก ๑๓๘ ล้านเหรียญ

 

ให้เข้าไปดูรายงานของแต่ละปี ในหมวด Transaction http://www.imf.org/e...ft/ar/index.htm

 

ทีนี้ ปีงบประมาณของไทยเรา เริ่ม ๑ ตค. และสิ้นสุดปีงบในวันที่ ๓๐ กย. ของปีถัดไป หมายความว่า เงินที่ใช้จ่ายของปีนี้ จะเป็นเงินของปีก่อนหน้าที่จัดเก็บได้มา เช่น ค่าใช้จ่าย ปี ๕๖ ก็จะเป็นเงินที่รัฐเก็บมาได้ในปี ๕๕ (๑ ตค. ๕๔ - ๓๐ กย. ๕๕) และหรือเงินที่เก็บสำรองไว้ได้ในปีก่อน ๆ หน้านั้นอีก

 

เนื่องด้วยความแตกต่างของช่วงเวลาปีงบประมาณ และรอบปีที่ imf คิด จึงกลายเป็นว่า เงินจำนวน ๗๕๐ ล้านเหรียญที่ใช้ในรอบกลางปี ๔๓ ถึง ๔๔ ของ imf ต้องเป็นเงินที่ได้มาจาก ปีงบประมาณ ๔๓ (ตค. ๔๒ ถึง กย. ๔๓) ในกรณีที่จ่ายต้นปี ๔๔ แต่ถ้าเป็นจ่ายตอนปลายปี ๔๓ ก็ต้องเป็นรายได้จากปี ๔๑ ถึง ๔๒ เป็นอย่างช้า

 

อย่างไรก็ตาม การพิจารณางบประมาณของไทยเรานั้น จะทำกันข้ามปี กล่าวคือ เงินที่จะใช้จ่ายของปี ๕๖ (ตค ๕๕ ถึง กย ๕๖) จะต้องเริ่มพิจารณามาตั้งแต่ ตค. ๕๔ และทำออกมาไม่เกิน มค. ๕๕

 

http://www.bb.go.th/...ar57_update.pdf

 

จึงหมายความว่า รัฐจะต้องเห็นเงิน มีเงิน และมีแนวทางในการใช้หนี้มาก่อนหน้ามาอย่างน้อย ๒ ปี เพราะถ้ามาคิดว่า เงินที่ใช้จ่ายในประเทศจะเป็นแบบหมุนปีต่อปี ประเทศจะมีอัตราเสี่ยงรุนแรงมากทีเดียว คิดว่าทั่ว ๆ ไป คงไม่กระทำกัน

 

หมายความว่า เงินที่จ่ายหนี้ในปี ๔๓ ถึง ๔๔ จึงจะต้องเป็นเงินที่จัดเก็บ และเตรียมงบประมาณไว้ตั้งแต่ ปี ๔๑ ถึง ๔๒ ด้วยซ้ำไป

 

ดังนั้น ถ้าเอาเวลาที่เหลื่อม ปฎิทินการจัดทำงบประมาณ มาพิจารณาก็จะได้ดังนี้

 

เงินที่ใช้คืนในปี ๔๓ จำนวน ๑๐๐ ล้าน จะต้องเป็นเงิน ที่เริ่มเก็บมาตั้งแต่ ๔๐ ถึง ๔๑ (ซึ่งเรายังอยู่ในช่วงยืมโดยไม่ต้องคืน) ซึ่งอยู่ในสมัยคุณชวน

 

เงินที่ใช้คืนในปี ๔๔ จำนวน ๗๕๐ ล้าน จะต้องเป็นเงินที่เก็บและตั้งงบมาตั้งแต่ ๔๑ ถึง ๔๒ ซึ่งก็อยู่ในสมัยคุณชวนอีก

 

เงินที่ใช้คืนในปี ๔๕ จำนวน ๑๐๗๕ ล้าน จะต้องเป็นเงินที่เก็บมา ๔๒ ถึง ๔๓ (ตค. ๔๒ ถึง กย. ๔๓) นี่ก็สมัยคุณชวน

 

เงินที่ใช้คืนในปีะ ๔๖-๔๗  จำนวน ๑ พันกว่าล้านนิด ก็จะต้องเก็บมาตั้งแต่ ๔๓ เป็นต้นมา (ตค. ๔๓ เป็นต้นมา)

 

เหลี่ยมเป็นนายก ที่สภารับรอง มีค. ๔๔

 

ถามว่า ใครเป็นคนหาเงินมาใช้หนี้? แล้วใครเป็นคนเอาหน้าไปใช้หนี้?




#655330 ทำไมอภิสิทธิ์ถึงไม่เคยได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยต่างปร...

โดย baezae on 25 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 19:18

เห็นมีบอกว่า ใส่ฮู้ดผิดสี คืออะไรเหรอครับ

 

คือปกติสีฮู๊ดจะเป็นเครื่องบ่งบอกคณะหรือสาขาที่เรียนจบครับ เช่น ระบบของนิวซีแลนด์จะกำหนดให้ฮู๊ดของผู้จบสายกฎหมายเป็นสีฟ้า สายการศึกษาเป็นสีเขียวมรกต หมอเป็นสีม่วง

 

เหมือนแถบครุยบ้านเราเหมือนกันครับ ที่บ่งบอกคณะ

 

ดูจากภาพ ป้ากลวงน่าจะได้รับ ๑ ใน ๓ สาขาดังนี้ครับ การศึกษา การวางแผน เทววิทยา ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นการศึกษา เพราะไม่มีการบอกแน่ชัดว่าป้าแกได้สาขาอะไรแน่ชัด

 

แต่ที่เค้าแซวกันน่าจะเพราะ แกใส่ฮู๊ดเบี้ยวครับ




#654317 ทำไมอภิสิทธิ์ถึงไม่เคยได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยต่างปร...

โดย baezae on 25 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 01:09

จริง AUT ไม่ใช่มหาวิทยาลัยห้องแถวนะครับ ในความเป็นจริงมีชื่อเสียงในระดับโลกใช้ได้ทีเดียว อยู่ระดับราว ๔๐๐

 

ในขณะที่จุฬา กับ มหิดลอยู่ราว ๒๕๐ ส่วนธรรมศาสตร์ เกษตร อยู่ระดับ ๕๐๐ (วิธีการจัดอันดับนี่ไม่แฟร์กับมหาวิทยาลัยที่เน้นด้านสายสังคมอย่างธรรมศาสตร์เลย)

 

ถ้าเป็นในนิวซีแลนด์ด้วยกันเอง ก็ราว ๑๐ กว่า

 

แต่.....ปริญญากิตติมศักดิ์นี่ มันแทบไม่มีความหมายอะไรเลยครับ ให้เป็นเกียรติเฉย ๆ ให้ด้วยความสเน่หาก็ว่าได้ เพราะไม่ได้แสดงถึงผลงานที่แท้จริงในปริญญานั้น ๆ แต่อย่างใด ถ้าเป็นดุษฎีบัณฑิตจะใช้ ดร. นำหน้าชื่อก็ไม่ได้ เพราะไม่มีศักดิ์และสิทธิ์แห่งการใช้

 

นึกเหมือนที่ไทเกอร์ได้ปริญญาจากเกษตรนั้นก็ได้ คล้าย ๆ กัน ไม่ต่างอะไรกับเอานาฬิกาอีกอันไปแขวนฝาบ้าน




#643617 อุเทนถวายสถาบันนี้มัน ดิบ ถ่อย เถื่อน เกินไป ควรย้ายออกจากที่ ที่มนุษย์อยู่...

โดย baezae on 16 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 12:47

ตามนั้นครับ ที่ท่านโจโฉว่ามานั้นถูกต้อง

 

ที่ดินของพารากอนนั้น เป็นส่วนของสำนักงานทรัพย์สินฯ หาใช่ที่ของจุฬาฯ ไม่ ในขณะที่ที่ดินของเซนทรัลเวิร์ลดิ์ เป็นของวังเพชรบูรณ์

 

----------------

 

ประเด็นถัดมา การไม่ต่อสัญญาระหว่างจุฬาฯ กับอุเทนฯ นั้น ในความคิดเห็นส่วนบุคคล ผมต้องบอกว่า เป็นสิทธิ์ของจุฬาฯ ครับ

 

ออกตัวไว้ก่อนเลยว่า ผมเกี่ยวพันกับทางจุฬาฯ (แถมหน้าตาดันไปเหมือนไอ้เวรพิชญ์ซะด้วยซิ โคตรกลัวโดนคนจำผิดเลย)

 

อย่างไรก็ตาม ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับทางจุฬาฯ ในหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้งการพยายามเวนคืนพื้นที่ในหลาย ๆ ส่วน เช่น ตลาดสามย่านเดิม ด้านหลังตรงใกล้ ๆ เชียงกง ซึ่งบริเวณดังกล่าว จุฬาฯ นำมาทำเป็น หอพัก และคอนโด (ใช้คำนี้ละกัน เพราะให้เซ้งราว ๓๐ ปีด้วยว่าขายไม่ได้) ซึ่งส่วนตัวผมเห็นว่า "เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาน้อยมาก"

 

บริเวณที่ผมเห็นว่าขอคืนแล้วเกิดประโยชน์ ใช้เพื่อการศึกษาจริง ๆ คือบริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบัน ถูกใช้เป็นพื้นที่ของ ๓ คณะใหม่ คือ สหเวชศาสตร์ จิตวิทยา และวิทยาศาสตร์การกีฬา โดยเลิกสัญญากับทาง มศว. พลศึกษา

 

ในกรณีพื้นที่ทางอุเทนฯ และโรงเรียนสาธิตฯ ปทุมวัน นั้น ในทางที่ผู้บริหารอธิบาย ได้บอกว่าจะใช้เพื่อสร้างศูนย์การเรียนรู้(?) ตรงนี้ผมเองก็ข้องใจเช่นกัน ว่า ศูนย์การเรียนรู้อะไร? เป็นอาคารเรียนรวมหลาย ๆ คณะหรือเปล่า? (ตรงนี้ต้องยอมรับว่า แต่ละคณะที่อัตราการรับนิสิตเพิ่มทุกปี อย่างคณะผมเอง เริ่มต้นที่ปีละราว ๑๐๐ ปัจจุบันผ่านไปราว ๗ ปีปาไปเกือบ ๒๐๐ต่อชั้นปี)

 

------------------------------------------------

 

กรณีเรื่องพฤติกรรมของนักศึกษาอุเทนถวายบางคน ส่วนตัวผมอยู่บริเวณนั้นมาราว ๑๕ ปี มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้อง "หลบ" อยู่ในหอพัก (ไม่แม้กระทั่งออกมาบริเวณนอกอาคาร แม้จะอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยก็ตาม) อันเกิดจากผลกระทบที่เกิดจากนักศึกษาอุเทนถวายราวปีละครั้ง ครั้งแรก ๆ จำได้ว่าน่ากลัวมาก เพราะมีการยิงปืนขึ้นฟ้า หลัง ๆ นั้นดีขึ้นมาก หากแต่ก็ยังมีเรื่องราวที่ทำให้นิสิต บุคลากรจุฬาฯ ต้องระแวดระวังกันอยู่เนือง ๆ เช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวเป็นเฉพาะกับบางคน ผมไม่คิดว่าเด็กอุเทนจะเลวร้าย หรือชั่วช้าไปเสียทุกคน และแน่นอน ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นอุเทนถวายจึงไม่ดี แต่เป็นเพราะคนไม่ดีบางคนเข้าไปอยู่ในอุเทนถวาย (เช่นเดียวกับที่มีอยู่ในสถาบันอื่น ๆ เช่นกัน)




#642389 ย้อนรอยผลสอบ "คดีลักทรัพย์ในสหรัฐ"

โดย baezae on 15 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 13:41

ทำผิดในครั้งกระโน้น

 

ทำผิดในขณะที่แบกชื่อเสียง แบกหน้าตาของประเทศ

 

เอาน่า อย่างไอ้หน้าเหลี่ยม เฮนไตยังรับได้เลย แค่นี้กระจอก




#641649 นารีขี่ม้าขาวผงาดอีกแล้ว บัวแก้วเผยมหาลัยกีวี่ปลื้ม "ปู" จ่อมอบดุษฎีบ...

โดย baezae on 14 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 20:51

มหาวิทยาลัยใหญ่อันดับ ๓ ของนิวซีแลนด์นี่ วัดเป็นพื้นที่หรือเปล่า หรือวัดเป็นอันดับ

 

เทียบกับมหาวิทยาลัยบ้านเรา จัดอันดับปี ๒๐๑๒

 

จุฬาฯ ๒๐๑

 

มหิดล ๒๕๕

 

AUT ๔๕๑

 

ธรรมศาสตร์ ๕๕๑

 

เกษตรศาสตร์ ๖๐๑

 

http://www.topuniver...y-rankings/2012

 

ถ้าเป็นโซน oceania (AUS/ New Zealand) คัดเอาเฉพาะนิวซีแลนด์ประเทศเดียว

 

U of Auckland ๑๗๓

U of Otago ๒๐๑

Victoria U of Wellington ๒๕๑

U of Canterbury ๓๐๑

U of Waikato ๓๐๑

U of Messey ๓๕๐

 

http://www.timeshigh.../region/oceania

 

อันดับ ๓ ของนิวซีแลนด์????????




#637370 10 เมษายน 2553 ภรรยาของคุณอภิสิทธิ์พักอาศัยอยู่ที่ไหนครับ

โดย baezae on 11 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 18:51

ยิ่งมายิ่งต่ำชั้น ยิ่งนานยิ่งสถุล

 

สมกับเป็นควายแดงชั้นนำจริงๆ


  • eAT likes this


#628961 การติดคุกเขมรของวีระ-ราตรี ปชป.ต้องรับผิดชอบ

โดย baezae on 6 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 04:35

ผมว่าเราต้องโหวตโนครับ!!!!




#628783 เสื้อแดงครับ เอาภาษีแต่ละภาค มาโชว์กันดีกว่า

โดย baezae on 6 มีนาคม พ.ศ. 2556 - 00:54

จำนวนประชากรแยกตามภาค ปี ๒๕๕๖                         คน
กรุงเทพมหานคร                                                 7,791,000

ภาคกลาง (ไม่รวมกรุงเทพ)                                17,511,000

ภาคเหนือ                                                         11,588,000

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ                                    19,093,000

ภาคใต้                                                                8,640,000
 

 

ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล

 

จะเห็นได้ว่า ในขณะที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ มีประชากรมากที่สุด และมากเป็นที่ ๓ แต่กลับมีการจัดเก็บรายได้ได้น้อยเป็นอันดับ ๓ จากท้าย และได้น้อยที่สุดตามลำดับ

 

ส่วนกทม มีประชากรน้อยที่สุด แต่มีการจัดเก็บรายได้เฉพาะท้องถิ่นเดียว สูงกว่าทุกภาครวมกัน