![Posted Image](https://lh5.googleusercontent.com/-wQicpXQxECs/UCfW_Lnht6I/AAAAAAAADRc/ucrzWPXSthM/s635/%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B27.jpg)
- แสนยานุภาพ, Huligan, ช่วยเตือน สติ พวกผมหน่อย and 2 others like this
Posted by OSR
on 12 August 2012 - 23:17
Posted by ปลายแสง
on 12 August 2012 - 23:14
ไม่มีใครคิดอย่างที่คุณคิดหรอกนะสิทวย....เสื้อแดงเขาใส่อยู่เป็นปกติ อยู่มาวันหนึ่งคนระยำอัปปรีย์***ขายชาติ...คิดกลุ่มของตนเองขึ้นมาให้ตรงกันข้ามกับเสื้อเหลือง (ซึ่งเขาไม่ได้ตั้งตนเองขึ้นมาว่าคนเสื้อเหลือง...หากไม่รู้ประวัติศาสตร์ว่าทำไมอย่าทะลึ่งมาโพสต์ในนี้) เช่นใช้ตีนตบ เป็นต้น พอใช้อัตตลักษณ์ตัวเองแบบนั้นการชุมนุมทุกที่เป็นไปแบบอัปยศอดสูอันธพาล(กวนส้นตีน)โดยสันดาลอันธพาลรวมฝูง ทำแต่เรื่องระยำตำบอน นานเข้าใครคิดจะใช้เสื้อสีแดง โดยเฉพาะช่วงทำลายประชุมอาเชียนและเผากรุงเทพฯ ... ต่อมาเริ่มคิดขึ้นได้เสื้อทุกสีคนเรามีสิทธิ์ใส่ได้ คนเกิดวันอาทิตย์ใส่สีแดงแล้วจะโชคดี แต่คนจังไรอัปปรีย์ใช้สีแดงเป็นสัญญลักษณ์ของตนเอง มันไม่ยุติธรรมเลยสำหรับเสรีชนทั่วไป...เลยคิดว่าต่อไปนี้สีอะไรก็จะใส่แล้วล่ะเพื่อเป็นมงคลของตนเองโดยเฉพาะคนชอบสีแดง ไม่ใช่เพราะพวกระยำรวมกลุ่มกันได้เยอะแล้วจะใส่ตามเพื่อเป็นพวก...เข้าใจผิดแล้วหล่ะสิททวย...ไม่มีใครคิดอยากเป็นเสื้อแดงระยำตำบอนแบบมรึงคิดหรอก...ต่อไปนี้จะไปซื้อเสื้อสีแดงมาใส่บ้างเพราะของเก่าโดนหมาแย่งใส่(เอาไปเป็นผ้าขี้ริ้วหมด)ดูสิมันไปหนักกบาลใครหรือไม่
สิ่งหนึ่งที่เสื้อแดงยึดคือสัญลักษณ์ พวกเขาใช่มันเพื่อเป็นหลัก
จะว่าไปเรามีภาพคนเผาเมือง แต่ แดงเขาบอกไม่ใช่แดง เพราะไม่ได้ใส่เสื้อแดง
การรุกไปยังสัญลักษณ์ทำให้แดงหลายส่วนคลั่ง และกำลังรู้สึกเหมือนถุกทำลาย
จะว่าไปไม้นี้แรงกว่าการด่าทักษิณหรือกล่าวหาใดๆด้วย เราะแดงหลายคนเริ่มสับสนและแกว่ง
แน่ละผมเห็นบทความมากมายที่ออกมา หรือแดงหลายคนที่แรงเป็นพิเศษในเรื่องนี้ถึงขนาดไปอดอาหารหน้าพรรค ปชป
บอกได้เลย การนำแดงมาใช่หนนี้พวกเขากระเทือนจริงๆ
พวกนี้ถูกครอบกระโหลกจนฝังใจเชื่อ.....
พวกเขาเป็น"ไพร่เสื้อแดง"จริง
แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของสีแดง.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เริ่มต้นด้วยกระบวนการคิดที่ผิดเพี้ยน มองไม่เห็นพื้นฐานของความจริง
พูดหรือเขียนอะไรออกมามันก็ดูตลกๆแบบนี้แหละครับ หุหุ
เหมือนกับการที่คิดว่า คนเสื้อแดงรักทักษิณเพราะนโยบายช่วยเหลือคนรากหญ้า แสดงว่าคนไทยชอบของฟรี
ว่าแล้วก็”แจกเงิน” คนละ 2000 บาท เขาจะได้หันมารักเราบ้าง เห็นคนไทยเป็น”ขอทาน”ซะอย่างนั้น
เห็นคนยกย่องเชิดชู รักษาทุกโรค 30บาท แสดงว่า คนไทยชอบของถูก
ว่าแล้วก็ “”รักษาฟรี ไม่ต้องเหลือศักดิ์ศรีให้ภูมิใจในความเป็นคน แบมือขอความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเดียว
กระบวนการคิดแบบนี้ อีกร้อยชาติก็ไม่มีทางซื้อใจประชาชนส่วนใหญ่ได้เลย
เรื่อง”สีเสื้อ”ก็เช่นเดียวกัน คงคิดว่า คนเสื้อแดงที่มวลชนสนับสนุนหนาแน่น มีพลังแข็งแกร่งขึ้นทุกวันๆ
คงเพราะคิดเพี้ยนๆว่า “คนไทยชอบสีแดง” เหมือนที่คนเขาพูดขำๆกันว่า “จะถูกจะแพง สีแดงไว้ก่อน”
อย่ากระนั้นเลย เรามาเปิดยุทธวิธี “ทวงสีแดง” กันดีกว่า พอทวงบ่อยๆเดี๋ยวมันก็เอามาคืนให้เองสินะ
คิดไปด๊าย ย ยไม่ได้มีสมองกันเลยเนอะ
Posted by อู๋ ฮานามิ
on 12 August 2012 - 23:01
ชี้หน้าด่าทักษิณ หรือเปล่าครับ ???
Posted by Stargate-1
on 4 August 2012 - 21:22
ข้อเขียนของคุณสุเทพ อัตถากร เรื่อง “ยึดสนามบินไทย-ฝรั่งวัฒนธรรมการเมืองที่ต่างกัน” เมื่อวันขึ้นปีใหม่ในนิตยสารเส้นทางไทยถือเป็นข้อสังเกตอันดีที่มีต่อประเด็นการกล่าวหา “พันธมิตรฯ ปิดสนามบินฯ” อันนำไปสู่มติที่บอร์ดการบินไทยจะฟ้องเรียกค่าเสียหายแกนนำพันธมิตรฯ ราว 2 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับบอร์ดการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยและยังไม่รวมถึงความพยายามของตำรวจที่จะรวบรวมหลักฐานเอาผิดแกนนำพันธมิตรฯ ในข้อหาฉกาจฉกรรจ์ เช่น ก่อการร้าย บุกยึดระบบขนส่งมวลชนของประเทศ
คุณสุเทพ อัตถากรได้ตั้งข้อสังเกตย้อนกลับไปในเหตุการณ์เมื่อ 25 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาลมุ่งหน้าไปยังสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ เพื่อกดดันให้นายกฯ สมชายลาออกจากตำแหน่ง แต่การชุมนุมกินพื้นที่ เฉพาะบริเวณที่เป็นทางรถวิ่งจอดรับ-ส่งผู้โดยสารด้านนอกเท่านั้น มิได้เข้าไปยึดหรือเกี่ยวข้องภายในตัวอาคารสนามบินแต่อย่างใดเลย และตลอดคืนวันนั้นจนกระทั่งถึงเวลา 10 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินต่างๆ ยังคงสามารถขึ้นลงได้ตามปกติ ไม่มีอุปสรรคอะไรเลย
เรียกได้ว่า เจ้าหน้าที่การท่าฯ นอกจากจะยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงที่ควรแจ้งข่าวไปยังผู้โดยสารอื่นๆ และหน่วยงานต่างๆ แต่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ของการท่าฯ ก็มิได้กระทำ กลับอ้างว่าผู้โดยสารต้องเสียเวลา หน่วยงานต่างๆ ก็ต้องเสียเวลาเพราะไม่ทราบมาก่อนว่าจะปิดสนามบิน
ความจริงแล้วเมื่อผู้ชุมนุมมานั่งชุมนุมอยู่ข้างนอก ปราศรัยและร้องเพลงกันมาหลายชั่วโมงตลอดคืน เครื่องบินขึ้นลงได้เป็นปกติตลอดคืนจนถึงช่วงสายของวันรุ่งขึ้น จึงมีคำถามแรกที่ควรถูกถามด้วยความสงสัยก็คือ ผู้ว่าการท่าอากาศยานฯ สั่งปิดท่าอากาศยานฯ นั้นในเวลาต่อมา ชอบด้วยเหตุด้วยผลโดยสุจริตใจหรือไม่ หรือด้วยมีเหตุจูงใจประการอื่น
ประการนี้ดิฉันขอหยิบยกหลักฐานการรายงานข่าวของสำนักข่าวโทรทัศน์และทาง เว็บไซต์หลายสำนัก อาทิ INN ที่ออกมาระบุเมื่อเวลา 21.50 น.ของวันที่ 25
พฤศจิกายนว่า
“นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผอ.การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้เป็นผู้ประกาศปิดให้บริการสนามบินสุวรรณภูมิ ในส่วนขาออกระหว่างประเทศเป็นการชั่วคราวแล้ว พร้อมประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเข้าช่วยดูแล ส่วนขาเข้ายังยังเปิดให้บริการตามปกติ ผู้โดยสารสามารถเข้ามาภายในประเทศได้ …”
ชี้ให้เห็นว่า 1. ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้มีอำนาจตัดสินใจสั่งปิดสนามบินคือนายเสรีรัตน์ ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผอ.การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2. เป็นการประกาศปิดสนามบินผ่านสื่อมวลชน 3. เป็นการประกาศปิดเฉพาะขาออกระหว่างประเทศ แต่ขาเข้ายังให้บริการแสดงว่านายเสรีรัตน์ใช้วิจารณญาณเฉพาะตัว ในการเลือกที่จะปิดเพียงบางส่วน มิใช่ลักษณะของการหยุดให้บริการของสนามบินทั้งหมด ทันทีที่มีผู้ชุมนุมมารวมตัวอยู่ด้านนอก
คำถามที่จะมีต่อมาก็คือว่า แล้วนายเสรีรัตน์ใช้ระเบียบข้อไหนเป็นเครื่องชี้วัดการตัดสินใจในการสั่งปิดสนามบิน เมื่อตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของสนามบินสุวรรณภูมิมีการแบ่งพื้นที่การ ดูแลออกเป็น พื้นที่นอก-ในอาคารผู้โดยสาร จุดตรวจค้นก่อนขึ้นอากาศยาน (อ้างอิงจากในเว็บไซต์ ทอท.) เช่นเดียวกับสนามบินทั่วไปที่จะกันพื้นที่ออกเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือ โซนสำหรับเครื่องบินขึ้น-ลง ซึ่งรวมถึงหอบังคับการบินอันอาจเรียกว่าเป็นส่วนที่ต้องมีความปลอดภัยสูงสุด กับพื้นที่รอบนอกสำหรับการสัญจรสำหรับยานยนต์รับส่งผู้โดยสาร
และในเมื่อภาพที่ปรากฏผ่านสื่อฯ ทั่วไปชี้ให้เห็นว่า ผู้ชุมนุมในวันนั้นมีการรวมตัวอย่างสงบที่ด้านนอกอาคารโดยมีผู้นำการชุมนุม (ในเวลานั้น คือ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ) ที่คอยควบคุมฝูงชนได้เป็นอย่างดี จนไม่มีผลในอันจะขัดขวางการขึ้นลงของเครื่องบิน คำถามคือ คุณเสรีรัตน์ .. คุณสั่งปิดสนามบินทำไม
ในทางกลับกันต้องยอมรับว่าสนามบินสุวรรณภูมิไม่ได้ถูกใช้เป็นสมรภูมิของการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมครั้งแรก แต่ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ตุลาคม ปีเดียวกัน กลุ่มคนขับแท็กซี่กว่า 300 คนได้บุกปิดทางเข้า-ออก พร้อมขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานฯ ในจุดเดียวกับที่มีการประท้วงของกลุ่มพันธมิตรฯ แทนที่คุณเสรีรัตน์จะใช้มาตรการเดียวกับที่ใช้กับกลุ่มพันธมิตรฯ แต่กลับใช้วิธีการเจรจาโดยยอมอ่อนข้อให้ กลุ่มคนขับแท็กซี่ดังกล่าว คิดอัตราค่าโดยสารแบบเหมาจ่ายตามที่มีการเรียกร้อง แสดงว่าสองเหตุการณ์ที่ว่านี้ มีการเลือกปฏิบัติใช่หรือไม่
ในบทความของคุณสุเทพ อัตถากรยังตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่การท่าอากาศยานฯ จำเป็นต้องสั่งปิดสนามบินตามที่อ้าง แต่ทำไมกลับไม่มีการปฏิบัติตามหลักสากลการบิน ที่ตามปกติ ในปฏิบัติการของท่าอากาศยานฯ ต่างๆ ทั่วโลก จักต้องมีการเตรียมสนามบินสำรองเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินทันที อย่างในเมืองไทยก็มีสนามบินอู่ตะเภา สนามบินโคราช สนามบินขอนแก่น สนามบินอุดรฯ และสนามบินเชียงใหม่ในทันที เพื่อรองรับเที่ยวบินที่ตกค้าง
สำหรับประเด็นนี้ มีรายงานอ้างอิงระบุว่า ในวินาทีฉุกเฉินทางการท่าฯ ได้ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการประกาศผ่านเสียงตามสายหยุดให้บริการการบิน และขอให้ผู้ที่ไม่เกี่ยว ข้องออกนอกสนามบิน โดยอ้างว่าเกิดความวุ่นวายขึ้นภายในสนามบินสุวรรณภูมิ การปิดให้บริการโดยไม่มีมาตรการรองรับดังกล่าว ทำให้มีผู้โดยสารที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ตกค้างทันทีราว 1 หมื่นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธี ฮัจญ์ที่ซาอุฯ จนแกนนำพันธมิตรฯ ต้องประสานขอความช่วยเหลือเรื่องนี้จากพล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน อดีตประธาน คมช.ผู้มีสายสัมพันธ์อันดีกับประเทศตะวันออกกลางเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
รายงานข่าวอ้างด้วยว่า 29 พฤศจิกายน 2551 นายเสรีรัตน์ได้ตัดสินใจซ้ำสองที่จะให้มีคำสั่งปิดสนามบินสุวรรณภูมิต่อ เนื่องอีก 48 ชั่วโมง จนถึงเวลา 18.00 น.ของวันที่ 1 ธันวาคม 2551 ทั้งที่ ก่อนหน้านี้ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้ส่งหนังสือถึงนายเสรีรัตน์โดยยืนยันว่า ตามที่พันธมิตรฯ ได้มาชุมนุมอยู่ที่บริเวณด้านหน้าอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ และด้านหน้าของสนามบินดอนเมืองนั้น พันธมิตรฯ ขอชี้แจงว่า มิได้เข้าไปชุมนุมในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับการขึ้นลงของเครื่องบินทั้งในส่วนของลานบิน หลุมจอด หอบังคับการบิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขึ้นหรือลงเครื่องบินของสนามบินทั้ง 2 แห่ง
ความผิดพลาดในการทำหน้าที่ของนายเสรีรัตน์ ยังถูกย้ำด้วยรายงานข่าวในเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ ประจำวันที่ 13 ธันวาคม 2551
“..เมื่อมีการอ้างแหล่งข่าว ในคณะกรรมการท่าอากาศยานไทย (ทอท.) หรือที่ประชุมบอร์ด ทอท.เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ได้ตั้งข้อสังเกตการณ์คำสั่งปิดสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ของนายเสรีรัตน์ ว่า ไม่ได้มีการดำเนินการตามขั้นตอน และระเบียบปฏิบัติ ซึ่งการสั่งปิดสนามบินเป็นเรื่องใหญ่ และก่อให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก โดยเฉพาะการออกประกาศผ่านสื่อมวลชนก่อนที่จะมีการแจ้งให้กับสายการบิน และผู้ประกอบการทราบก่อน ทำให้เกิดความสับสน มีหลายเที่ยวผ่านออกไปโดยไม่ได้ผ่านการตรวจค้น นอกจากนี้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมิได้ออกประกาศแจ้ง NOTAM หรือ ผู้ปฏิบัติการทางอากาศไปยังสายการบินต่างๆ ว่าจะมีการปิดการใช้อาคารผู้โดยสาร”
รายงานระบุว่า นายเสรีรัตน์ได้แสดงความรับผิดชอบต่อบอร์ด ทอท.โดยอ้างว่า หากเห็นว่าตนทำงานบกพร่องก็พร้อมจะลาออกจากตำแหน่งรักษาการ ผอ.ท่าอากาศยานฯ เท่ากับเป็นการยอมรับว่า ตนได้เป็นผู้ตัดสินใจสั่งปิดสนามบินจริง และยอมรับต่อผลที่จะเกิดขึ้น และแม้ว่าบอร์ดการท่าฯ จะเห็นว่าจำเป็นต้องให้นายเสรีรัตน์อยู่ในตำแหน่งต่อไปเพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า นายเสรีรัตน์จะปฏิเสธการชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจปิดสนามบินของนายเสรีรัตน์ได้พ้น
ดังนั้น ในกรณี ที่ ทอท. มีการประเมินความเสียหายจากการปิดสนามบินออกมาวันละ 60 ล้านบาท นับตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.-4 ธ.ค. รวมมูลค่ากว่า 540 ล้านบาท ไม่รวมค่าเสียหายจากการเสียโอกาสและด้านอื่นๆ รวมถึงการที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับผลกระทบจากการปิดสนามบินคิดเป็นกว่า 20,000 ล้านบาท
ผู้ที่ควรเป็นผู้รับผิดชอบตัวจริง จึงควรเป็นตัวผู้ออกคำสั่งให้มีการปิดสนามบินใช่หรือไม่ ซ้ำควรจะให้มีการสอบวินัยเพิ่มว่าการตัดสินใจปิดสนามบินดังกล่าว เป็นความพยายาม “หมกเม็ด” จงใจทำให้ผิดพลาด หรือเพราะขาดความรู้ความชำนาญในการแก้ปัญหาจนไม่สามารถแก้ปัญหาเพื่อลดหรือ บรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่คุณสุเทพ อัตถากร สรุปว่า เป็นเรื่องน่าละอายที่สุด คือ ความพยายามโยนบาปทั้งหมดไปให้ผู้ชุมนุมแต่ฝ่ายเดียว
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000007682
โดย อุษณีย์ เอกอุษณีษ์
Posted by K.ยุกยิก
on 4 August 2012 - 21:15
Posted by hinotori
on 4 August 2012 - 18:59
Posted by asawinee
on 4 August 2012 - 15:55
มันเป็นความเชื่อส่วนตัวของ คุณชัยสิทธิ์ ที่เชื่อแม้วเป็น พระเจ้ามูลเมือง มาเกิด เลยทำพีธี
ทุกคนในนี้ พากันเชื่อเหมือน ชัยสิทธิ์ ด้วยเรอะ ถึงได้ตั้งขบวนการป่วนชาติ ล้มเจ้าแม้ว
ตรงไหนในข่าว ที่ทุกคนในนี้ พากันเชื่อได้ว่า แม้วได้เป็นเจ้าแล้วครับ
อย่าพากันเชื่อใครหรืองมงายอะไรง่ายๆอีกนะ
ใช้ความคิดและเหตุผล ค้นหาความเป็นจริงก่อนค่อยเชื่อ
จำไม่ได้เรอะ ครั้งที่แล้ว ที่ถูกแป๊ะลิ้มหลอกให้คาบโกเต๊กที่ใช้แล้วอ่ะ
ก็เพราะชอบงมงายและเชื่อใครง่ายๆ นี่ล่ะ![]()
![]()
![]()
Posted by asawinee
on 4 August 2012 - 13:40
จะพากันล้ม เจ้ามูลเมืองแม้ว แม้วไปเป็นเจ้าตอนไหน ยังไม่ได้ข่าวเลย
ไปเป็นเจ้าต้องทำอย่างไรบ้างเรอะ ......
..... ที่สำคัญถ้าแม้วไปเป็นเจ้าจริง ขี้แม้วจะหายเหม็นไหม.....
"ชัยสิทธิ์"นำเสื้อแดงสืบชะตา"แม้ว"ที่ เชียงใหม่ เชื่อเป็น"พระเจ้ามูลเมือง"มาเกิด แต่ทำกรรมไว้เยอะ ปล้น-ฆ่าพม่า "ร่างทรง"เผยได้กลับไทยแน่ เขียนชื่อ"บิ๊กบัง-สนธิ-จำลอง"ทำพิธีให้สิ่งที่ทำไว้ย้อนเข้าตัว พี่ชายเผยไม่รู้"ทักษิณ"จะกลับเมื่อไหร่ หนุน กม.ปรองดองเพื่อปท.สงบสุข "มาร์ค"เมิน บอกมีสิทธิทำได้
http://www.matichon....pid=01&catid=01
Posted by เด็กปากดี
on 1 August 2012 - 16:35
Posted by โจโฉ นายกตลอดกาล
on 1 August 2012 - 16:35
Posted by โจโฉ นายกตลอดกาล
on 30 July 2012 - 22:25
Posted by dtonNA
on 30 July 2012 - 22:54
ทักษิณสร้างมูลค่าเพิ่มให้ทีมแมนซิมหาศาล
ชาวอังกฤษต่างชื่นชม ในวิสัยทัศน์ของผู้นำ
มีคนมาติดต่อขอซื้อทีมต่อหลายคน
แต่ทักษิณไม่ยอมขาย..
จนสุดท้าย..ใจอ่อน !
Posted by เด็กปากดี
on 30 July 2012 - 22:29
เบื้องต้นนะ
ทำให้แมนซิ ไม่ล่มสลาย
มีเงินมีทองจุนเจือสโมสร
เป็นคนไทย ที่ฝรั่งที่คุยด้วยต้องเอามือกุมเป้า
นี่มันสมัยก่อนครับ
ลองมาตอนนี้ซิ บิ๊กจ็อดกล้าหือหรือเปล่า
ไม่เชื่อลองถามบิ๊กจ๊อดดูก็ได้..กล้ามั๊ย ?
Posted by David_GinoLa
on 30 July 2012 - 21:44
เบื้องต้นนะ
ทำให้แมนซิ ไม่ล่มสลาย
มีเงินมีทองจุนเจือสโมสร
เป็นคนไทย ที่ฝรั่งที่คุยด้วยต้องเอามือกุมเป้า
Community Forum Software by IP.Board 3.4.6
Licensed to: serithai.net