อ๋อ ผมก็เดาๆ ว่ามันเป็นแบบนั้น เห็นเค้าคุยกันว่าเคยล้มเพราะลืมปลด
วันนี้ อู้อีกแล้วครับ คุณมูน
เมื่อวานทำงานเลิกดึก กลับไปเลยไม่ได้ปั่น
ขนงานกลับไปทำที่บ้านด้วย เมื่อเช้าเลยขี้เกียจตื่น
สองวันแล้ว
จริงๆ ผมไม่อยากข้ามไปถึงสองวัน
เพราะกลัวจะปวดเมื่อยน่ะครับ
เคยเล่นฟิตเนส แล้วพอไม่ได้เล่นซักอาทิตย์นึง กลับมาเล่นใหม่
จะกลับมาปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออีก ผมเรียกว่า ต้องถอน (เหมือนกินเหล้า)
ช่วงแรกๆ ไม่อยากกลับไปเมื่อย อยากปั่นให้ขาอยู่ตัวกว่านี้หน่อย
แล้วค่อยขี้เกียจ
เมื่อเช้า ก่อนออกจากบ้าน
ก็มานั่งลูบๆ คลำจักรยานอยู่แป๊บนึง
จำได้ว่าเคยซื้อจารบีแบบเป็นสเปรย์ เลยลองเอามาฉีดตามดุมล้อหน้าหลัง
และแกนเฟือง ไม่รู้จะดีรึปล่าวนะครับ ซื้อโซแนคไว้อีกอย่างนึง เป็นสเปรย์เหมือนกัน
แต่ยังไม่ได้ใช้
วันนั้น ระหว่างปั่นออกถนนใหญ่ กำลังจะไปบึงหนองบอน
จากสวนหลวง ร9 ผมถามเพื่อนสนิทผมที่ปั่นด้วยกัน (คนนี้ที่บอกว่า ลงทุนปั่นมาเกือบ 30 กิโล
เพื่อมาปั่นเป็นเพื่อนผมที่สวนหลวง ไปกลับร่วม 60 กิโลทุกเสาร์)
ผมถามว่า ตั้งแต่รู้จักผมมา เคยนึกภาพออกมั๊ย ว่าคนอย่างผมจะมาปั่นจักรยานอยู่ข้างถนนแบบนี้
(ในเชิงการออกกำลัง) เพื่อนผมขำใหญ่ เพราะมันรู้จักผมดี
ผมเป็นคนรักสบาย ไปเซเวนในซอยผมยังขับรถไปเลย
ไม่ชอบให้เหงื่อออก ไม่ชอบเหนียวตัว ไม่ชอบลุย
ประเภทไปปีนเขา นอนเต้นท์ ผมแทบไม่เคยไป เว้นช่วงวัยรุ่น
พอเริ่มแก่ ก็ยิ่งเป็นหนักขึ้น และปฏิเสธการทำแบบนี้มาตลอด
วันนั้น พอมาเห็นภาพตัวเองเดินจูงจักยานที่ยางแตกอยู่ข้างถนนแล้วก็ขำดี
เดาว่า คนจำนวนนึง คงคิดคล้ายผมเหมือนกัน
ชีวิตคนกรุงเทพ อาจไม่เหมาะกับการปั่นจักรยานนัก ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ที่รู้ๆ กันอยู่
จนทำให้เราไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้อีก ด้วยการปฏิเสธมันไปแต่ต้น
เมื่อก่อน ตอนหัดถ่ายรูปแรกๆ ผมก็มักไปถ่ายแต่ที่ๆ ผมสะดวกไป
บ้านผมอยู่ไกล้สวนหลวงแค่ 2-3 กิโล แต่ผมไม่เคยไปเหยียบ
เพราะรู้สึกว่ามันร้อน มันต้องเดิน (โปรดเข้าใจธรรมชาติของคนอ้วน)
จนมาเห็นรูปถ่ายของเพื่อนหลายคน ที่ถ่ายนก ถ่ายดอกไม้ ไปลุยป่าถ่ายรูปมา
ผมเลยลองไปถ่ายที่สวนหลวงดูมั่ง
ครั้งแรกที่ไป เมื่อจอดรถแล้ว เดินถ่ายไปเรื่อยเปื่อย แดดร้อนมากครับ
เวลาประมาณ 3-4 โมง ผมกลับเดินไปได้เรื่อย เดินไป สังเกตุต้นไม้ ดูนก หามุมถ่าย
เพลินจนค่ำ และได้ถ่ายพระอาทิตย์ตกมาด้วย
ผมไม่ทันได้รู้สึกร้อน ไม่ทันได้เหนื่อย ไม่ทันได้เหนียวตัวเลย
ครั้งแรกได้รูปมาเยอะมากครับ เพลิดเพลินมาก
หลังจากนั้น ก็ได้ไปอีกบ่อยๆ ในเวลาที่ว่าง
และได้ทำกับที่อื่นๆ มากขึ้นด้วย เว้นแต่เดินป่า ที่ไม่อยากทำ (555)
มันคงเหมือนกับการปั่นจักรยานในเวลานี้มังครับ
เมื่อก่อน ผมก็ไม่เคยมีภาพตัวเองแบบนี้
วันที่ลองซื้อจักรยานมาครั้งแรก ผมไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง ว่าจะปั่นจักรยาน
ผ่านไปซักอาทิตย์ หลังจากเริ่มลองปั่น แล้วพบว่ามันก็สนุก
ผมจึงเริ่มถ่ายรูปจักรยานลงเฟสบุค ด้วยเหตุผลโง่ๆ หน่อยว่า
เอาไว้เป็นพยาน ถ้าวันหลังผมจะขี้เกียจขึ้นมา
เพื่อนๆ คงจะถาม ว่าขี้เกียจแล้วเหรอ ที่ผ่านมาปั่นตามกระแสใช่มั๊ย
อย่างน้อยก็ใช้มันบังคับตัวเองไปในตัวครับ
โชคดี ที่หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ผมปั่นไปมาในหมู่บ้าน
รวมถึงการหอบตัวเองออกไปปั่นตามสวนหลวง
ผมยังไม่รู้สึกว่า เป็นการบังคับตัวเอง แต่สนุกที่ได้ทำอยู่
เชื่อตัวเอง ว่าในอนาคต ก็คงจะยังไม่ถึงกะปั่นทางไกลเป็นร้อยกิโลแบบคุณมูน
อาจปั่นเพื่อความสนุก เพื่อออกกำลังบ้าง แต่โอกาสสำหรับการออกทริปแบบนั้นคงน้อยมากๆ
ไอ้ที่จะผอมไม่ผอม คงปล่อยให้เป็นของแถมเฉยๆ ครับ (ตั้งแต่เริ่มปั่นมา ยังไม่เคยชั่งน้ำหนักเลย)
เอาแค่ได้มีเวลาเป็นของตัวเองนอกจากทำงาน
ได้สนุกกับเรื่องอื่นๆ นอกจากชีวิตประจำวัน
แค่นั้นก็คุ้มค่าแล้วครับ ต่อให้ผมซื้อจักรยานแพงกว่านี้เยอะๆ ก็คงจะคุ้มแล้ว
พิมพ์ไว้ เผื่อใครที่เป็นแบบผมมาอ่านครับ
เดี๋ยวจะเริ่มเม้มตังค์แฟนไว้ซื้อรถเจ๋งๆ แล้ว อิอิ
เอาไว้คุยซัก 5 นาทีพอ (555)
**แต่ยังพยายามทำตามโปรแกรมคุณมูนนะครับ เป็นของแถม