ขอเพิ่มอีกนิดนึง ไอ้โอทอปที่่ว่าดีนักดีหนานั่นก็ใช่ว่าจะดีกว่ากันสักเท่าไหร่ ตอนนั้นผึ้งลงพื้นที่ตามโครงการให้นักศึกษาลงไปช่วยชาวบ้าน กลับกลายเป็นค้นพบความจริงว่าโครงการนี้เป็นแค่การโปรยเงินลงไป ชาวบ้านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำอะไรขาย ที่ผลิตออกมาก็มีแต่ของซ้ำๆ น้ำพริกมั่ง ผ้าทอมั่ง เหล้ามั่ง มีอยู่ไม่กี่อย่าง แล้วก็หาจุดเด่นยาก ปัจจุบันนี้มันก็ตายจากไป เหลือแต่เจ้าที่เขาขายได้อยู่แล้ว อย่างเช่นน้ำพริกของลพบุรีที่เขาขายมาตั้งแต่ผึ้งยังไม่เกิด (เจ้าของเป็นเพื่อนแม่ผึ้งเอง)
ใช่ครับ มันเป็นนโยบายหายเสียงสร้างกระแสได้ในระยะสั้นเท่านั้น ลองคิดดู มี 100 ตำบล จะขายสินค้าได้ 100 อย่างหรือ เป็นไปไม่ได้
สินค้าที่่ขายก็ซ้ำๆ กัน ไม่มีเอกลักษณ์ ไม่มีความแตกต่าง แพ็คเกจก็ไม่ดึงดูดใจ ดูิเป็นสนค้าตลาด เช่นตามที่ยกตัวอย่างมา น้ำพริก ผ้าทอ ลูกประคบ น้ำลูกยอ เป็นต้น
แบ่งสัดส่วนเลยกลายเป็น
น้ำพริ้ก 35 ตำบล
ผ้าทอ 10 ตำบล
ลูกประคบ 40 ตำบล (เยอะจริงอันนี้)
น้ำลูกยอ 15 ตำบล
ถามว่า มันจะขายได้ทุกเจ้าไหม เหมือนข้าวหลามที่ผมยกตัวอย่างข้างต้นนั่นแหละครับ และที่สำคัญ ด้วยความที่มันออกมาซ้ำๆ ซากๆ เกลื่อนตลาด
มันเลยกลายเป็นการ "ลดภาพลักษณ์ของตัวสินค้าเอง" ให้กลายเป็นสินค้ากระจอกๆ ไป สุดท้าย ก็รอดอยู่ไม่กี่เจ้า เมื่อเทียบการการลงทุนที่ลงไป ผมว่า
ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ