Jump to content


asawinee

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 26 กรกฎาคม 2554
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2557 20:33
*****

#122146 ภาพที่คนไทยหลายๆคนลืม

โดย asawinee on 30 มกราคม พ.ศ. 2555 - 21:19

สมัยเด็กมากๆ เวลาในหลวงเสด็จภาคใต้ รถยนต์พระที่นั่งจะต้องผ่านถนนหน้าบ้าน
พอตำรวจปิดถนน พวกเราพี่น้องจะออกไปนั่งริมถนน ชื่นชมพระบารมี

เคยร้องเพลงไทยเดิม "เต่าเห่" ในช่วงเห่กับเพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ในโอกาสรับเสด็จสมเด็จพระเทพ ที่เสด็จมามหิดล ศาลายา

เคยไปโรงพยาบาลวชิระ แล้วบังเอิญได้รับเสด็จสมเด็จพระเทพ

และที่โชคดีที่สุดคือ เคยรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของในหลวง


#119555 คำถามวัดระดับความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ครับ ผมไม่รู้ช่วยด้วยครับ

โดย asawinee on 28 มกราคม พ.ศ. 2555 - 12:50


. . .
คอมพิวเตอร์ถูกออกแบบการทำงานจากสมองมนุษย์


ถามจริงเหอะ ไอ้ คอมพิวเตอร์ถูกออกแบบการทำงานจากสมองมนุษย์ ที่ตะกวดว่าน่ะ
คิดเอง หรือมีคนค้นคว้าวิจัยไว้แล้ว
ถ้าตะกวดคิดเอง ก็ขอบอกว่า เป็นความคิดที่ปราศจากหลักฐาน เลื่อนลอย อาจถูก อาจผิด หรืออาจถูกบางส่วนก็ได้
ถ้ามีคนค้นคว้าวิจัยไว้แล้ว ก็ควรเอางานวิจัยมาวิพากษ์วิจารณ์ จะดีกว่า
เพราะทั้งคอมพิวเตอร์และการทำงานของสมอง เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ที่ต้องมีการทดลองเพื่อพิสูจน์ทราบ


อีกเรื่องที่ฟังดูตลกมากคือ

แต่ผมรู้ว่าสมองผมเวลาทำงานมันรู้สึกยังไง

  • ตะกวดไม่รู้เรื่องสมองจริงๆ
  • ตะกวดไม่ได้ยึดหลักการ ข้อเท็จจริง การพิสูจน์ ยึดถือแต่ความรู้สึก


อยากแชร์อีกมุมมองหนึ่งครับ เค้าอาจจะหมายถึง "ไอเดีย" น่ะครับ ความจริงคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆเลยนั้น มันออกแบบมาเพื่อให้ทำงานที่มนุษย์ทำได้ครับ แต่จะใช้เวลานานและน่าเบื่อมาก คือเป็นพวกการคำนวณแบบ recurrence คือทำขั้นที่หนึ่งก่อน แล้วเอาผลที่ได้จากขั้นที่หนึ่งมาหาขั้นที่สองด้วยหลักการที่คล้ายๆกัน แต่เปลี่ยนแค่ input เท่านั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราคิดได้ไม่ยากครับ แต่มันคำนวณนาน แถมโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดก็สูงอีกด้วยถ้ามีหลายขั้นตอนและทศนิยมเยอะๆ ดังนั้นคนเราจึงคิดเครื่องทุ่นแรง ที่ทำงานตามที่เราคิด ต่างตรงที่ว่าเร็วกว่าเราทำเองมาก และความแม่นยำสูงกว่าชนิดเทียบไม่ติด ซึ่งอันนี้ที่ผมยอมรับว่า "ไอเดีย" การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นมาจาก "สมอง" ของมนุษย์ เพราะมันก็แค่เครื่องทุ่นแรงน่ะครับ ทำเหมือนที่เราทำเป๊ะ ต่างกันแค่ความเร็วกับความแม่นยำเท่านั้นเอง ที่คอมพิวเตอร์เหนือกว่า

อย่างไรก็ตาม ไอเดียที่ซับซ้อนขึ้น อย่างที่เราเห็นเป็นเทคโนโลยีทุกวันนี้นั้น ผมไม่มั่นใจครับ ว่าคอมพิวเตอร์มัน "คิด" หรือทำงานเหมือนสมองมนุษย์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่าไม่ใช่ทั้งหมดแน่ เพราะเรื่อง halting problem ที่ผมบอกล่ะครับ



ถ้ามองในมุมของคุณ Gop จริงอย่างที่คุณว่าๆ คอมพิวเตอร์ยุคแรก ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบการคำนวณซึ่งเป็นการทำซ้ำๆซึ่งน่าเบื่อ และคอมฯยังมีข้อดีในแง่ความเร้วและความแม่นยำ
ในสมัยก่อน คำบัญญัติภาษาไทยสำหรับ คอมพิวเตอร์คือ "คณิตกล" นั่นคือเครื่องมือที่ใช้ในการคำนวณ แต่ปัจจุบัน เราคงบอกไม่ได้ว่า คอมพิวเตอร์ทำงานเพียงแค่การคำนวณ

และถ้ามองในมุมทางด้านชีววิทยา การคำนวณของมนุษย์คือการใช้สมองซีกซ้าย นั่นคือคอมพิวเตอร์ทำงานเลียนแบบสมองซีกซ้ายเท่านั้น

สมองส่วนอื่นๆเช่น สมองซีกขวา ซึ่งทำงานเกี่ยวข้องกับศิลปะ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์นั้น คอมพิวเตอร์ลอกแบบจากสมองไม่ได้

สมองบริเวณท้ายทอยยิ่งแล้วใหญ่ มนุษย์เองนั้นไม่สามารถควบคุมการทำงานได้เลย เพราะเป็นการทำงานของสมองซึ่งดูแลการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกาย เช่น หัวใจ ปอด เราไม่สามารถใช้สมองสั่งให้หัวใจหยุดเต้นได้ เราไม่สามารถหยุดให้ปอดหยุดฟอกอากาศได้

แต่เราสามารถสั่งให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์หยุดทำงานได้

สิ่งที่กล่าวข้างต้น เรามองในเรื่องของผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงาน
นั่นคือ คอมพิวเตอร์สามารถให้ผลลัพธ์ในการทำงานแบบเดียวกับการทำงานของสมอง (ซีกซ้าย)

และถ้ามองในเรื่องของกระบวนการ
เมื่อมองอย่างละเอียด ลงไปถึงระดับเซล เซลประสาทแต่ละตัวจะสื่อสารกันได้ ต้องใช้สารสื่อ (neurotransmitters) ซึ่งมีหลายรูปแบบ แล้วแต่การใช้งาน ตัวอย่างสารสื่อที่เราเคยได้ยินกันบ่อยได้แก่ อดรีนาลีน เอ็นโดรฟิน ในที่นี้ ไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดการทำงานของสารสื่อแต่ละตัว แต่สารสื่อจะทำปฏิกิริยาทางชีวเคมี และมีปฏิกิริยาทางไฟฟ้าของเซลมาเกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงานของเซลประสาท

ในแง่กระบวนการนี้ คอมพิวเตอร์ก็ยังมีความแตกต่างจากสมองมาก

แม้ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์มีเทคโนโลยีซึ่งทันสมัยมาก แต่ก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับการทำงานของสมองซึ่งซับซ้อนและน่ามหัศจรรย์มาก

ในความเห็นส่วนตัว ขอสรุปว่า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในยุคแรกๆออกแบบมาเพื่อทำงานคำนวณแทนสมองมนุษย์

มิใช่ คอมพิวเตอร์ถูกออกแบบการทำงานจากสมองมนุษย์


#115413 วันนี้ผมต้องออกไปคุมไซ้งานข้างนอก ของดตั้งกระทู้หนึ่งวันครับ

โดย asawinee on 25 มกราคม พ.ศ. 2555 - 10:48


ต้องขยันๆ หน่อย เพื่อตอบแทนเถ้าแก่ ที่จะขึ้นเงินเดือนให้เดือนนี้ครับ


ประกาศงดตั้งกระทู้วันนี้ โดยการตั้งกระทู้ :huh:


ที่ตั้งกระทู้บอกงดตั้งกระทู้นี่ เพื่อเอาบัตรเติมเงินแหงๆ :D
  • -3- likes this


#115331 เทคนิคทำอาหารประหยัดและอร่อย ในยุคข้าวยากหมากแพง

โดย asawinee on 25 มกราคม พ.ศ. 2555 - 09:58

กุ้งแห้งป่น


เมนูวันนี้ขอเอาใจคนที่โปรดปรานอาหารทะเล โดยเฉพาะคุณ Majung ที่มักมีกุ้งแห้งติดบ้านไว้เสมอ อาหารประหยัดครั้งนี้จึงไม่ต้องทำอะไรที่พิสดารมาก วิธีทำก็แสนง่าย
  • เริ่มจากนำกุ้งแห้งสักหยิบมือ มาเลือกเอาสิ่งแปลกปลอมออก จากนั้นลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ (ส่วนใครใจถึงจะไม่ลวกน้ำร้อนก็ตามสบาย)
  • นำกุ้งแห้งมาโขลก ไม่ต้องละเอียดจนเนื้อกุ้งแห้งขึ้นฟูเป็นปุย แค่โขลกให้มีเนื้อหยาบๆปนอยูบ้าง เวลากินจะได้สัมผัสดื่มด่ำกับ texture ของอาหาร และเพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน จึงไม่ควรใช้เครื่องบดสับอาหารให้เปลืองไฟฟ้า ออกแรงโขลกนั่นแหละดี ไขมันที่ห้อยย้อยพอกพูนต้นแขนจะได้ลดลง เปลี่ยนสลับซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เพื่อความสมดุล เสร็จแล้วตักใส่ชาม
  • ใส่น้ำปลาพอขลุกขลิก บีบมะนาว เติมพริกป่น ชิมรสดู ปรุงให้มีรสเค็ม เปรี้ยว เผ็ดตามต้องการ ถ้าให้เด็กกินก็ไม่ต้องโรยพริกป่น เป็นอันเสร็จ

เมนูนี้เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดี นำมาคลุกข้าวสวยร้อนๆ แกล้มผักสดตามชอบ อร่อยนักแล คอนเฟิร์ม! ฟันธง!

กุ้งแห้งนั้นมีหลายราคาตั้งแต่ 300 บาท ไปจนถึง 800 บาท ต่อกิโลกรัม เวลาเลือกซื้อก็แล้วแต่ทุนทรัพย์และความชอบ ขอแค่อย่าซื้อไอ้ที่สีสันฉูดฉาดบาดตา ประเภทสีแดงแจ๋ ส้มแปร๊ด ชมพูแปร๋น นั้นควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง กุ้งแห้งสีจืดๆนั้นแหละปลอดภัยที่สุด

ปริมาณกุ้งแห้งที่เราใช้หนึ่งหยิบมือนั้น ยังไม่ถึงครึ่งขีด ถ้ากุ้งแห้งโลละห้าร้อย หนึ่งหยิบมือก็ราคาประมาณยี่สิบบาท พอปรุงเสร็จแล้วคลุกข้าวได้หลายจานทีเดียว ประหยัดจริงๆ

กุ้งแห้งเป็นอาหารทะเลที่มีไอโอดีน จึงช่วยป้องกันคอพอก และโรคเอ๋อได้เป็นอย่างดี

เกร็ดน่ารู้คือ คนที่โปรดปรานกุ้งแห้งมากจนนำมาเป็นของขบเคี้ยวยามว่าง คือ มังกรเติ้ง เมืองสุพรรณ


#113411 คำถามวัดระดับความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ครับ ผมไม่รู้ช่วยด้วยครับ

โดย asawinee on 23 มกราคม พ.ศ. 2555 - 21:43

Posted Image


LADY ADA AUGUSTA BYRON

เอดา ไบรอน

โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก



http://th.wikipedia....%B8%AD%E0%B8%99



หวา... เลดี้นี่มันคุณหญิงนี่นา
โปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก เป็นอำมาตย์!!!


#113331 แบบนี้เรียกพวกเนรคุณใช่ไหมคับ"บวรศักดิ์"อัด"วรเจตน์"แกนนำนิติ...

โดย asawinee on 23 มกราคม พ.ศ. 2555 - 20:50


ชาวนาปลูกข้าวให้นายกอภิสิทธิ์กิน แต่ได้ประกันราคา ไม่กี่บาท แค่ค่าปุ๋ย ค่าอื่นๆ ได้กำไรกี่บาท พอใช้หนี้ไหม

แบบนี้ นายอภิสิทธิ์ เนรคุณด้วยไหมครับ

ทหารรับเงินภาษีประชาชน ได้เบี้ยเลี้ยงประชาชนรวมเสื้อแดงด้วย แต่มายิงประชาชน เนรคุณด้วยไหมครับ

ขอบคุณครับ


อภิสิทธิ์ไม่ได้ขอแ@กฟรีๆ เหมือนควายแดงคะอิngo

และเงินภาษีสำหรับเงินเดือนทหารนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ควายมาขวิดแล้วทหารต้องยืนนิ่งๆให้ควายมันขวิด เขามีสิทธิเอาTEEN ถีบหน้าควายกลับเพื่อป้องกันตัว เก็ทนะคะ เพราะไม่เกิน 3 บรรทัด


ไลค์หมดอ่ะ
งั้นบอกตรงนี้แล้วกัน
ชอบมากมายหมดใจ :)


#113326 แบบนี้เรียกพวกเนรคุณใช่ไหมคับ"บวรศักดิ์"อัด"วรเจตน์"แกนนำนิติ...

โดย asawinee on 23 มกราคม พ.ศ. 2555 - 20:48



พาลไปนึกถึง ไอ้เหล่ เลย ไอ้นั่นก็นักเรียนทุนมูลนิธิฯ

แล้วก็นึกถึง อาจารย์ของผมท่านนึง แต่ไหนแต่ไรมา เวลาเงินเดือนออก ท่านจะแบ่งเงินให้มูลนิธิอานันฯ ทุกเดือนๆ

แต่ตั้งแต่ไอ้เหล่มาเป็นไข่แม้วนี่ แกเลิกส่งเลย - -"


เขาเป็นใข่แม้วตรงใหน งั้นพวกค้าน ก็เป็นใช่มาร์คสิ นะ


โถ...เป็นเดือดเป็นแค้นแทนไอ้เหล่

ร้อนรน พยายามจ้วงคืนด้วงมุขเบาปัญญาเช่นเคย

พวก "4 กระเพาะ" นี่รักกันจริงวุ้ย

ฮ่าๆๆ


ฮ่า ฮ่า ฮ่า
พวก 4 กระเพาะ เคี้ยวเอื้อง :D


#109557 เทคนิคทำอาหารประหยัดและอร่อย ในยุคข้าวยากหมากแพง

โดย asawinee on 19 มกราคม พ.ศ. 2555 - 22:37

น้าคะ นี่คือ......ก้านคะน้า


ในยุคที่มีการจำนำข้าว ทำให้การแข่งขันส่งออกข้าวไปต่างประเทศของไทยด้อยลง และยังทำให้ราคาข้าวสารในประเทศสูงขึ้น คนที่เบี้ยน้อยหอยน้อยคงต้องประหยัด รัดเข็มขัดกันจนเอวกิ่วเอวคอด ข้าวสวยที่เคยกินอิ่ม ก็คงต้องมีสักมื้อสองมื้อที่เปลี่ยนมากินข้าวต้มแทน ลดปริมาณข้าวสารลง ประหยัดไปได้นิดนึง

พอดีวันนี้ไปตลาดเห็นคะน้าก้านอวบใหญ่ราคาถูก กำนึงมีประมาณห้าต้นราคาสิบบาท ปริมาณขนาดนี้เอามาผัดได้จานพูนๆล้นจานไปเปล่าๆ อย่ากระนั้นเลย แบ่งเอาก้านคะน้ามาทำกับข้าวประหยัดพลังงานกินกับข้าวต้มกันดีกว่า

เมนูนี้ขอรับรองว่าประหยัดพลังงานจริงๆ ไม่ต้องต้มผัดแกงทอดตุ๋นนึ่งใดๆทั้งสิ้น

เริ่มจากแยกเอาก้านคะน้ากับส่วนใบออกจากกัน ใบกับยอดอ่อนเก็บไว้ไปผัดในมื้ออื่น จะผัดปลาเค็ม ผัดหมูกรอบก็ว่ากันไป
ก้านคะน้าสักก้านสองก้านก็พอกินหนึ่งมื้อ ที่เหลือเก็บไว้ทำในมื้อต่อไปได้อีก หรือจะเอาไว้ผัดกับส่วนใบก็ได้
นำก้านคะน้ามาลอกเปลือกแข็งๆออก แล้วหั่นเฉียงๆเหมือนกับที่หั่นใส่หมูมะนาวนั่นแหละ เสร็จแล้วใส่ชามไว้
เติมซีอิ้วลงไปในชามให้พอขลุกขลิก (ถ้าใครชอบน้ำปลาก็ใช้ได้ไม่ว่ากัน)
หั่นพริกขี้หนูใส่ตามลงไป (แนะนำให้ใช้พริกสีแดงจะได้มีสีสันสวยงาม เวลากินจะได้เห็นชัด) คลุกๆให้ซีอิ้วซึมซาบเข้าทุกอณูของก้านคะน้าเป็นอันเสร็จ

แค่นี้ก็ได้กับข้าวกินกับข้าวต้มที่ง่ายแสนง่าย ราคาถูก ไม่เปลืองเชื้อเพลิงในการปรุงอาหาร อร่อย และมีคุณค่าทางอาหาร เพราะก้านคะน้าเป็นผักที่มีแคลเซียมสูง มีเส้นใยอาหารช่วยในการขับถ่าย
เดี๋ยวนี้ อย. มีข้อบังคับให้ซีอิ้วและน้ำปลาต้องเติมไอโอดีนด้วย เมนูนี้จึงมีประโยชน์ในเรื่องนี้ด้วย
แต่ข้อเสียก็มีคือ อย่าประหยัดมากจนกินแต่ซีอิ้วน้ำปลา เค็มเกินไปไตจะพังเอานะ...สิบอกให้


#106822 จะให้พระองค์ทรงล้มลงได้อย่างไร

โดย asawinee on 17 มกราคม พ.ศ. 2555 - 18:55

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
พระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง


#105406 เทคนิคทำอาหารประหยัดและอร่อย ในยุคข้าวยากหมากแพง

โดย asawinee on 16 มกราคม พ.ศ. 2555 - 09:28

เข้ามาหิวจ้ะ...แอบคัดลอกเมนู กระดูกหมูทูอินวัน ด้วยคน :wub:
ส่วน ปลาหมึกน้ำดำ คอนเฟริมว่าอร่อยจริงจ้ะ แต่ต้องสดเท่านั้น..
ส่วนตัวยุพินอยู่ สมุทรสาคร...(ทำเสียงสูงๆ แอบโหยหวนฮัมเพลง) ^_^
พาออกทะเลจนได้เนอะ (ไปตกหมึกไง) :P


ขอบคุณที่สนใจเมนูอาหาร
ทีแรกนึกว่าจะไม่มีใครสนใจซะแล้ว
บ้านคุณมะจังอยู่สมุทรสาคร อิจฉาจัง
ได้กินอาหารทะเลสดๆ ราคาถูก
คนจังหวัดนี้ เขาว่าไม่เอ๋อ ฉลาดเพราะไม่ขาดไอโอดีน
เห็นตัวอย่าง ทำคลองประดิษฐ์แล้ว ....สุดยอด :)

ปล. ที่บ้านน้ำท่วมหรือเปล่าคะ


#105180 เทคนิคทำอาหารประหยัดและอร่อย ในยุคข้าวยากหมากแพง

โดย asawinee on 15 มกราคม พ.ศ. 2555 - 22:16

ซึ้งครั้งเดียว


ทราบกันหรือไม่ว่า ในการหุงต้มอาหาร เราต้องสูญเสียความร้อนจากเชื้อเพลิงไปที่ใดบ้าง กว่าที่ความร้อนจะไปถึงอาหารที่กำลังปรุง
คำตอบคือ เตา อากาศ ภาชนะหุงต้ม
ยิ่งถ้าทำอาหารประเภทนึ่ง เราต้องเสียความร้อนไปยังน้ำที่ต้องต้มให้เดือดกลายเป็นไอน้ำเดือดซึ่งไปทำให้อาหารสุกอีกที การนึ่งจึงเป็นกรรมวิธีปรุงอาหารที่เปลืองเชื้อเพลิง เพราะความร้อนจะไม่ไปโดนอาหารโดยตรง ต้องส่งผ่านมาที่น้ำก่อน

วันนี้จึงขอแนะนำการทำอาหารประเภทนึ่งโดยใช้ซึ้ง(เดาะใช้ภาษาจีน ที่แท้มันคือ ลังถึง นั่นแหละ)ครั้งเดียว แต่ได้กับข้าวสองอย่าง เป็นการประหยัดพลังงาน

แบบที่1 ปลาหมึกนึ่งมะนาว กับไข่ต้ม
  • เตรียมทำปลาหมึก ลอกหนัง ควักไส้ออก (เวลาควักไส้ทำแต่เบามือ เผื่อมีไข่ปลาหมึกติดมา ไข่จะได้ไม่เละ) เฉือนตา ผ่าถุงหมึก ปาก ทิ้งไป ล้างน้ำหลายๆน้ำ ให้ทรายในตัวปลาหมึกออกไปให้หมด เวลากินจะได้ไ่มเสียอารมณ์ อีกอย่างเผื่อมีฟอร์มาลีนติดมาจะได้ละลายไปกับน้ำ ไม่แนะนำให้ซื้อปลาหมึกที่ลอกหนังไว้แล้ว เพราะอาจได้ปลาหมึกแช่น้ำยาฟอกขาว เสร็จสรรพหั่นเป็นแว่นๆ พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
  • ทำน้ำราด มีกระเทียม (ปอกเปลือกให้หมด) รากผักชี พริกขี้หนูสับละเอียด น้ำปลาดี น้ำมะนาว ปรุงรสตามชอบ ห้ามใส่น้ำตาลเด็ดขาด
  • เอาไข่มาล้างเปลือกให้สะอาด เตรียมต้ม
  • เอาน้ำใส่ซึ้งกะให้ท่วมไข่ ใส่เกลือลงไปสัก 1 ช้อนชา (เพื่อให้เวลาปอกไข่จะได้ง่าย) ใส่ไข่ลงไป ตั้งไฟ
  • พอน้ำเดือดพล่าน เอาปลาหมึกใส่จานก้นลึกนึ่ง ใช้เวลานึ่งปลาหมึกประมาณแปด เก้านาที ปิดไฟ ยกลง
  • เอาน้ำราด ราดลงไปในจานปลาหมึกทันที ทีนี้เราก็ได้ปลาหมึกนึ่งมะนาวแล้ว
  • ส่วนไข่ที่ต้มในซึ้งพร้อมกันก็สุกพอดี ตักเอามาจากซึ้งปอกกินได้เลย หรือจะเก็บเอาไปกินมื้อต่อไปก็ได้ เพราะไข่ต้มเก็บไว้ได้นาน
การต้มไข่ ถ้าจะให้เป็นยางมะตูม เมื่อน้ำเดือด ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ถ้าจะให้สุกทั้งใบ จะใช้เวลา 8 นาที ซึ่งในกรณีนี้เราจะได้ไข่ที่สุกพอดี

ไม่แนะนำให้ต้มไข่พร้อมกับการทำปลานึ้งซีอิ้ว เพราะปลานึ่งจะใช้เวลาในการนึ่งนานมาก ประมาณ 20 นาที ไข่จะสุกเกินไป ไข่แดงจะมีสีเทาๆ เพราะกำมะถันในไข่แปรสภาพ (จริงๆก็กินได้ ไ่ม่ปัญหาอะไร)

แบบที่สอง ปลานึ่งซีอิ้วกับผักลวกจิ้มน้ำพริก
  • ในที่นี้ขอใช้ปลากะพง ควักไส้ ขอดเกล็ด ตัดครีบคมๆแข็งๆออก บั้งให้ถึงก้างด้านละ2-3 รอย ซาวเกลือแล้วล้างออก พักให้สะเด็ดน้ำ แล้ววางบนจานนึ่ง
  • ขิงซอย กระเทียมปอกเปลือกทุบ หมูสามชั้น ต้นหอม(เอาแต่ต้นสีขาวๆ ส่วนสีเขียวเก็บไว้ใส่แกงจืืดมื้้อถัดไปได้)หั่นเป็นท่อนยาวประมาณ 2 นิ้ว จากนั้นซอยตามยาว พริกขี้หนูบุบ วางประดับบนตัวปลา
  • เอาน้ำมันพืชราดปลาเล็กน้อย
  • ใส่ซีอิ้วลงไป
  • ตั้งน้ำบนเตาให้เดือดพล่าน ต้องใส่น้ำให้มากหน่อย 3 ใน 4 ของก้นซึ้ง เพราะนึ่งปลาต้องใช้เวลานาน ใส่จานปลาลงนึ่ง ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที หรือนานกว่านั้น ถ้าปลาตัวโต
  • ห้ามเปิดฝาแอบดูปลาขณะนึ่งเด็ดขาด เพราะจะทำให้คาว
  • ระหว่างนึ่ง นำผักที่ต้องการลวก เช่น ยอดแค ดอกแค สะเดา ดอกโสน กะหล่ำปลี มาล้าง จัดแต่ง พักให้สะเด็ดน้ำ
  • เมื่อนึ่งปลาเสร็จ ยกลง เราจะเ็ห็นน้ำในซึ้งเดือดพล่าน ใส่เกลือลงไปในน้ำสักหนึ่งช้อนชา (เพื่อให้ผักมีสีสวย) นำผักลงไปลวกเร็วๆ ปิดไฟ ตักขึ้น เอาไปกินกับน้ำพริกได้
ผักบางอย่างกินดิบได้ แต่ผักบางอย่างควรลวกก่อนกิน ผักที่ยกตัวอย่างข้างต้น(ยกเว้นกะหล่ำปลี) เป็นผักพื้นบ้าน ปลอดสารเคมี ต้องลวกก่อนกินทั้งสิ้น
กะหล่ำปลีกินดิบได้ก็จริง แต่ไม่แนะนำเพราะสารบางอย่างในกะหล่ำปลีดิบจะไปสกัดกั้นไม่ให้ร่างกายดูดซึมไอโอดีน จึงควรทำให้สุกเพื่อสลายสารที่ว่าก่อน หญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตรไม่แนะนำใ้ห้กินกะหล่ำปลีดิบโดยเด็ดขาด

เพิ่มเติม 6 กพ 55
ภาพปลากะพงนึ่งซีอิ้ว
ก่อนนึ่ง

Posted Image

และหลังนึ่งแล้ว

Posted Image


#104291 เทคนิคทำอาหารประหยัดและอร่อย ในยุคข้าวยากหมากแพง

โดย asawinee on 14 มกราคม พ.ศ. 2555 - 17:24

โพสข้างบนขอตั้งชื่อว่า

กระดูกหมู ทูอินวัน

แล้วจะหาเทคนิคใหม่มาอัพเดตเรื่อยๆ :)


#104168 เทคนิคทำอาหารประหยัดและอร่อย ในยุคข้าวยากหมากแพง

โดย asawinee on 14 มกราคม พ.ศ. 2555 - 13:59

วันนี้ขอนำเสนอ เทคนิคจากแม่เราเอง
แม่เราช่างสังเกต เวลาทานข้าวเสร็จ แกงจืดที่กินเสร็จแล้ว มักเหลือกระดูกหมูเอาไว้ ซึ่งสมาชิกในบ้านไม่ค่อยกินเนื่องจากมันจืด รสชาติของหมูไปอยู่ในน้ำซุปหมดแล้ว
ด้วยความเสียดาย แม่เราจึงหาวิธีดัดแปลงเพื่อความประหยัดดังนี้

เริ่มจากทำแกงจืด กระดูกหมูใส่ผัก
กระดูกหมูให้ใช้ซี่โครง อย่าใช้สันหลังที่เรียกว่า เอียวเล้ง ให้แม่ค้าสับเป็นท่อนๆแบบที่นำมาทำกระดูกหมูทอดกระเทียมพริกไทย
ผักที่ใส่ จะเป็น มะระ หัวผักกาด(ไช้เท้า) ฟัก ผักกาดดอง ก็ได้
ไม่ต้องใส่ซุปก้อนใ้ห้เปลือง เพราะเราจะได้ความหวานจากน้ำต้มกระดูกหมู
จากนั้นต้มแกงจืดอย่างที่ทำกินทุกวัน ใส่เกลือ น้าปลา พริกไทยนิดหน่อย
เวลากิน กินเฉพาะผักกับน้ำแกงจืดเหลือกระดูกเอาไว้ อย่าทิ้ง

เอากระดูกหมูจากแกงจืดมาทอด ใช้เวลาทอดแป๊บเดียว เพราะหมูสุกอยู่แล้ว (ประหยัดพลังงาน)
เจียวกระเทียมโรย ใส่เกลือ ใส่น้ำปลานิดหน่อยให้มีกลิ่นหอม ใส่พริกไทย น้ำตาล
แค่นี้เราก็จะได้กระดูกหมูทอดกระเทียมพริกไทย ซึ่งกระดูกหมูนี้จะนุ่มมากเนื่องจากผ่านการเคี่ยวในแกงจืดมาแล้ว เวลากินแทบไม่ต้องเคี้ยว เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
รสชาติของกระดูกหมูจากแกงจืดที่จืดชืดก็ได้รสจากเครื่องปรุงทั้งเค็ม เผ็ด หวาน ปรุงแต่ง อร่อยไปอีกแบบ

กระดูกหมูอย่างเดียวจึงกลายเป็นอาหารสองจาน ซึ่งเราไม่ต้องเหลือทิ้ง
ประหยัดเงิน ประหยัดพลังงานด้วย


#37824 ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ดการ์ตูน

โดย asawinee on 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 22:55

ชอบมากกกกกกกก......

จัดเยอะๆนะตัวเอง

Thank you very much kha.