ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
เห็นพระองค์ทรงแย้มพระสรวลแล้วมีความสุขมากจริงๆ
- ซีมั่น โลช่า likes this
ซุ่มเงียบ hasn't added any friends yet.
โดย ซุ่มเงียบ on 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 21:57
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
เห็นพระองค์ทรงแย้มพระสรวลแล้วมีความสุขมากจริงๆ
โดย ซุ่มเงียบ on 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 00:30
ถ้าฝั่งแดง ยกย่องไอ้เรียนไม่จบ ไอ้ไม่ยอมไปเลือกตั้ง (ไม่ต้องบอกนะว่าใคร) กับไอ้แต๋วนี่ ว่าเป็นระดับเทพ
ผมว่าพวกฝั่งแดงแม่งมีปัญหาทางสมองแล้วแหละ 55555
ครับ เค้าระดับเทพทางการพูดครับ
ถ้าพูดไม่เก่งไม่สะเทือน คงไม่โดนฝั่งตรงข้ามตามดูถูกขนาดนี้
ปล ทำไมฟังแล้วดูเหมือนมันเล่นหมากรุกกลางรายการเลยวะ
จำไว้นะครับเทคนิคการพูด ปชป ด่าด่าด่าเส็ดแล้วก็บอกทันทีว่าเอาล่ะเรามาคุยเรื่องอื่นกันดีกว่า
ส๊าสสสส
เอาแค่เนื้อหาในรายการนี้นะครับ คุณคิดว่าที่ด่ามันเป็นข้อเท็จจริงรึเปล่าล่ะครับ ถ้าฝ่ายตัวเองชี้แจ้งที่เขาด่าไม่ได้ก็อย่าดิ้นเลยครับ
โดย ซุ่มเงียบ on 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 00:23
หัวหน้าตะกวดเอาเงินมาอุดปากพยานสินะ
ถ้าความลับหลุดมีหวังโดนเก็บยกครัว
โดย ซุ่มเงียบ on 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 22:47
45. ชัยภูมิ มีผู้มีสิทธิ จำนวน 867,363 คน มีผู้มาใช้สิทธิ จำนวน 478,822 คน คิดเป็นร้อยละ55.20
รวมผู้ใช้สิทธิ์ 20,468,646 คน คิดเป็น ร้อยละ 45.84
Credit ข่าวจาก http://manager.co.th...erNo=1
000000000000
ตัวเลขโหวตโนของจ.ชัยภูมิ ถิ่นแดงเข้มน่าสนใจมาก
000000000000
'กกต.' สรุปตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ รายจังหวัด อึ้ง!ว่าที่ส.ส.ชัยภูมิพท.แพ้โหวตโน 2 เขตคือเขต 3 และ 7
อึ้ง!ว่าที่ส.ส.ชัยภูมิพท.แพ้โหวตโน2เขต
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จังหวัดชัยภูมิ มีผู้สมัครส.ส.ครั้งนี้รวม 28 คน ใน 7 เขตเลือกตั้ง คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายแพทย์โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย จากเพื่อไทยได้คะแนนชนะไป 29,212 คะแนน และนายวิทยา จันดาเขียว จากพรรคชาติพัฒนาได้ไปเพียง 1,809 คะแนน แต่มีบัตรโหวตโนสูงกว่า 21,952 คนและบัตรเสียสูงอีก 5 %
เขตเลือกตั้งที่ 2 นายมานะ โลหะวณิชย์ อดีตส.ส.เพื่อไทยหน้าเดิมมีคะแนนชนะไปได้ 48,815 คะแนน แต่มีบัตรโหวตโนรวม 10,037 ใบ และบัตรเสียสูงมากอีกกว่า 10 %
เขตเลือกตั้งที่ 3 นางสาวปาริชาติ ชาลีเครือ อดีตส.ส.เพื่อไทยได้ 28,578 คะแนน แต่มีบัตรโหวตโนสูงมากกว่าคะแนนผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยในเขตนี้กว่า 42,505 ใบ และบัตรเสียอีกสูงกว่า 5 %
เขตเลือกตั้งที่ 4 นายอนันต์ ลิมปคุปตถาวร อดีตส.ส.เพื่อไทยหน้าเดิมชนะไป 36,335 คะแนน
เขตเลือกตั้งที่ 5 นายเจริญ จรรย์โกมล อดีตรองประธานสภา และส.ส.พท. ได้ 33,632 คะแนน
เขตเลือกตั้งที่ 6 นางพรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล อดีตส.ส.พท.หน้าเดิมชนะไปได้ 36,549 คะแนน
เขตเลือกตั้งที่ 7 นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยหน้าเดิมชนะได้ 34,961 คะแนน และมีบัตรโหวตโนสูงกว่าคะแนนผู้สมัครรวม 36,955 ใบ และบัตรเสียมีอีกมากกว่า 5 %
http://www.komchadlu...203/178148.html
โดย ซุ่มเงียบ on 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 18:21
โดย ซุ่มเงียบ on 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 15:23
โดย ซุ่มเงียบ on 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 14:23
เท่าที่พบข้อมูลนะคะ
แถมอีกคน
แถมตัวนี้ด้วย
นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
จากกรณีที่โลกออนไลน์มีการแชร์ขอมูลการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือหนูหริ่ง บก.ลายจุด แกนนำเสื้อแดง ซึ่งพบว่ามีการไม่ไปเลือกตั้งถึง 6 ครั้งนั้น
ล่าสุด นายสมบัติ ชี้แจงผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า ผมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ส.ส. นอกเขต ในปี 54 แต่ไม่ได้เลือก อบต. อบจ. เพราะทะเบียนบ้านอยู่ไกลกว่า 700 กม และไม่มีระบบเลือกตั้งนอกเขต และเอาเข้าจริง ๆ หลายครั้งผมไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่าเขามีการเลือกตั้ง อบต. อบจ. เพราะย้ายมาอยู่ กทม. กว่าสิบปีแล้ว
ผมน้อมรับคำวิจารณ์ว่าผมไม่ไปใช้สิทธิ์เลือก อบต. อบจ. แต่ผมอยากบอกว่า นั่นมันสิทธิ์ของผม และผมไม่เคยตำหนิพวก กปปส. เรื่องที่เขาไม่ไปใช้สิทธิ์ไม่ว่า อบต. อบจ. หรือ ส.ส. และที่สำคัญที่สุด ผมไม่เคยอ้างสิทธิของตนเองในการไปขัดขวางการใช้สิทธิ์ของผู้อื่นในการเลือกตั้ง ไม่เคยด่าใครว่าควาย หรือ ขี้ข้าใคร ที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
ถ้าการไม่ใช้สิทธิเลือกตั้ง อบต. อบจ. ของผมถือว่าเลวร้าย ผมก็หาคำเปรียบที่ใช้กับคนที่ขัดขวางการเลือกตั้งของพวก กปปส. ว่าอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ พจนานุกรมคงไม่ได้บรรจุไว้
ปล.ผมถูก Ban ใน Facebook 3 วัน ติดขัดอะไรรอผมหน่อย
โดย ซุ่มเงียบ on 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 14:10
http://eservice.dopa...nqabs/index.php
ลองใส่เลขประจำตัวประชาชนดูครับ เช่น 3-1006-01824-83-4
ตอนนี้เข้าใจว่าเลือกตั้ง 2 ก.พ. ยังไม่อัพเดตข้อมูลนะครับ
โดย ซุ่มเงียบ on 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 12:40
https://www.facebook...elevant_count=1
โดย ซุ่มเงียบ on 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 11:00
เห็นนามสกุลแล้วกลัวใจ
ประพีร์ อังกินันทน์
000...หลังมีข้าราชการทยอยออกมาร่วมสนับสนุนการชุมนุมขับไล่รัฐบาลและระบอบทักษิณ“ครูหยุย”วัลลภ ตังคณานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ที่ออกมาร่วมชุมนุมอดไม่ได้ที่จะพูดถึง”ความกล้าหาญทางจริยธรรม...ข้าราชการไทย ถือเป็นหลักในการ รับใช้ประชาชนและประเทศชาติมาช้านาน..การเมืองที่ผ่านมาได้แทรกซึมทำลายระบบนี้มาตลอด ด้วยการโยกย้ายตำแหน่งคนของตนขึ้นตำแหน่งที่สูงขึ้นและหากินกับการซื้อขายตำแหน่งอย่างมากมาย จนศักดิ์ศรีข้าราชการตกต่ำอย่างมาก...ครั้นเมื่อมีการประท้วงขึ้น ข้าราชการในตำแหน่งสูง ที่ส่วนใหญ่ได้ดิบได้ดี เพราะรัฐบาลชุดนี้ จึงพยายามช่วยรัฐบาลต่อต้าน ที่พอมีสำนึกดีหน่อยก็เงียบเฉย ที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมในการต่อสู้สิ่งผิดก็เริ่มจะลุกขึ้นประกาศตนออกมา...จุดเริ่มน่าชื่นชมจาก”ปลัดสาธารณสุข”ที่เริ่มกระตุ้นสำนึกที่ดีงามและความกล้าของเหล่าข้าราชการมากขึ้น กระทั่งเริ่มเป็นกระแสลมที่รุนแรงขึ้นแล้ว จากหนึ่งเป็นสอง ละเรื่อยมาเป็นพัน หมื่น แสน..ออกมาครับเหล่าข้าราชการ ลุกขึ้นเพื่อแผ่นดินและอนาคตของลูกหลานไทย. เวลาแห่งการปลดโซ่ตรวนของความเป็นทาสการโกง มาถึงแล้ว...แต่เรื่องนี้“ประพีร์ อังกินันทน์“รักษาการ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นผู้เริ่มทำจดหมายเป็นรายแรกให้ กกต.เลื่อนการเลือกตั้ง เพราะจะสูญเสียงบแผ่นดินมหาศาล...แล้วตอนนี้ผลเป็นอย่างที่คาดการณ์แล้ววุ่นวายมากกว่าทุกครั้ง....000
ไม่ทราบว่าเป็นสายไหนของอังกินันทน์ แต่เท่าที่เป็นข่าวก็ถือว่าเป็นข้าราชการที่ใช้ได้คนหนึ่ง
โดย ซุ่มเงียบ on 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 10:24
ผลสอบจำนำข้าว ฉบับ สตง.! ยิ่งทำชาติยิ่งเสียหาย - "ยิ่งลักษณ์" ต้องยุติ!
"..การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลตั้งแต่ปีการผลิต 2554/55 เป็นต้นมา มีความเสี่ยงความไม่โปร่งใสและน่าเชื่อว่ามีการทุจริตสูง และยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนจำนวนหลายแสนล้านบาท ..ทำให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินและเกษตรกรความเสี่ยงต่อระบบการคลังของประเทศ.."
หมายเหตุ : เป็นรายละเอียดในหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าว ฉบับล่าสุด ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แจ้งไปถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐให้พิจารณา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ สตง. ได้ส่งรายงานผลการตรวจสอบไปให้พิจารณาแล้ว 3 ฉบับก่อนหน้าที่
----------
เรื่อง การตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล
กราบเรียน นายกรัฐมนตรี
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ตรวจสอบการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลตั้งแต่ ปีการผลิต 2554/55 เป็นต้นมา ซึ่งคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติกรอบวงเงินทุนหมุนเวียนเพื่อดำเนินโครงการต้องไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ประกอบกับการศึกษา วิเคราะห์จากผลการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2548/49 และ 2549/50 และโครงการประกันรายได้เกษตรกร ของปีการผลิต 2552/53 และ 2553/2554 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่ผ่านมา ข้อเสนอและความเห็นจากสถาบัน องค์กรต่างๆ เกี่ยวกับโครงการ ตลอดจนรายงานการปิดบัญชีโครงการของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งจากการตรวจสอบดังกล่าว สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน มีความเห็นและข้อเสนอแนะดังนี้
1. การดำเนินงานโครงการมีจุดอ่อนหรือความเสี่ยงในทุกขั้นตอนตั้งแต่การขึ้นทะเบียนเกษตรกรจนถึงการระบายข้าว ซึ่งเป็นช่องทางนำไปสู่การสวมสิทธิ์การจำนำและการทุจริตในโครงการ
จากการตรวจสอบที่ผ่านมา ทั้งโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2548/49 และ 2549/50 และโครงการประกันรายได้เกษตรกร ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเช่นเดียวกัน พบว่า การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไม่ถูกต้อง เกินความเป็นจริง ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เป็นช่องทางนำไปสู่การสวมสิทธิ์เกษตรกรและการทุจริตได้ การตรวจสอบรับรองข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบได้อย่างทั่วถึง และการใช้การประชุมประชาคมเป็นเครื่องมือในการรับรองความถูกต้อง ความครบถ้วน ของข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิผล สำหรับผู้แทนเกษตรกรและตัวแทนข้าราชการซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ประจำจุดรับจำนำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำจุดรับจำนำขององค์การคลังสินค้าและองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรไม่สามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรมทั้งด้วนคุณภาพข้าว (กรมข้าว) การหักลดความชื้นและสิ่งเจือปนเกินความเป็นจริง
เนื่องจากส่วนใหญ่ยังขาดความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับการตรวจสอบคุณภาพข้าว (กรมข้าว) ชนิดข้าวน้ำหนักข้าว นอกจากนี้ การจัดเก็บรักษาข้าวของโครงการเกิดการสูญหายหรือขาดบัญชี สำหรับการระบายข้าวตามโครงการดำเนินการได้น้อยและล่าช้ามาก ส่งผลทำให้ข้าวสารคุณภาพเสื่อม ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้สรุปประเด็นปัญหาและความเสี่ยงสำคัญที่พบจากการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกแจ้งให้นายกรัฐมนตรีเพื่อโปรดพิจารณาให้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานโครงการ ตามหนังสือที่เคยแจ้งถึงนายกรัฐมนตรี มาแล้ว 3 ฉบับ
สำหรับการตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2554/55 เป็นต้นมา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ติดตามขอข้อมูลผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ องค์การคลังสินค้า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับผลการดำเนินงานการรับฝากข้าวเปลือก การออกใบประทวน การเก็บรักษาข้าวสาร การระบายข้าวตามโครงการ และผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อมูลปริมาณข้าวคงเหลือของโรงสี และโกดังกลางที่เข้าร่วมโครงการ ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2556 รวมทั้งข้อมูลและรายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตรของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล
แต่ปรากฏว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รับข้อมูลดังกล่าวเพื่อประกอบการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ล่าช้า และไม่ครบถ้วน เช่น ข้อมูลการระบายข้าวตามโครงการของกระทรวงพาณิชย์ และผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อมูลปริมาณข้าวคงเหลือของโรงสีและโกดังกลางที่เข้าร่วมโครงการ ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2556
จากข้อมูลรายงานผลการปิดบัญชีโครงการฯ ซึ่งจัดส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2557 คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ได้ให้ข้อสังเกตว่า องค์การคลังสินค้าและองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร มีการรายงานข้อมูลปริมาณข้าวสารคงเหลือในคลังสินค้าไม่ถูกต้องครบถ้วน ล่าช้าไม่เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งมีการแก้ไขข้อมูลบ่อยคลัง ทำให้ไม่สามารถปิดบัญชีได้ทันเหตุการณ์ อีกทั้งยังมีการขอปรับเพิ่มปริมาณข้าวสารคงเหลือ ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2556 จำนวนสูงมากถึง 2.98 ล้านตัน แต่ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันความถูกต้องได้
นอกจากนี้ การระบายข้าวตามโครงการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากพบว่าการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงใดๆ สนับสนุนว่าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้งสองแห่ง ที่เข้ามาทำสัญญาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐได้รับมอบหมายจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และไม่มีการส่งออกข้าวออกนอกราชอาณาจักรจริง
2.ผลกระทบจากการดำเนินโครงการก่อให้เกิดความเสียหายต่อเงินงบประมาณแผ่นดิน และเกษตรกร ความเสี่ยงต่อระบบการคลังของประเทศ และไม่เกิดการพัฒนาการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ดังนี้
2.1 การดำเนินโครงการมีผลขาดทุนจำนวนสูงมาก จากการรายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตรของรัฐบาล โดยคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเลือกตามนโยบายรัฐบาล โดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี การผลิต 2555/56 (ครั้งที่ 1 ) พบว่า สิ้นสุด วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 มีผลขาดทุนจำนวน 332,372.32 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสูงกว่ายอดการปิดบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2556 (ซึ่งมีผลขาดทุนจำนวน 220,968.78 ล้านบาท) จำนวนมากถึง 111,403.54 ล้านบาท ชี้ให้เห็นแนวโน้มผลการขาดทุนสูงขึ้น
ทั้งนี้หากดำเนินการระบายข้าวคงเหลือในคลังสินค้ากลางได้ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และล่าช้าจะส่งผลทำให้ข้าวเสื่อมคุณภาพและมีมูลค่าลดลง รวมทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาเก็บรักษาไว้ เช่น ค่าเช่าคลังสินค้ากลาง ค่าใช้จ่ายรมยารักษาคุณภาพข้าว ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 ตามรายงานผลการปิดบัญชีโครงการตั้งแต่ปี การผลิต 2554/55 จนถึงปีการผลิต 2555/56 (ครั้งที่ 1) มีปริมาณข้าวสารคงเหลือในคลังสินค้ากลางรวมจำนวน 13,001,470.58 ตัน ซึ่งจะส่งผลให้โครงการมีผลขาดทุนเป็นจำนวนมาก โดยรัฐบาลต้องรับผิดชอบผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด รวมทั้งภาระเงินต้นและดอกเบี้ยจากเงินกู้
2.2 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จ่ายเงินให้แก่เกษตรกรที่นำใบประทวนสินค้ามาจำนำโครงการล่าช้าเพราะมีเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ เนื่องจากรัฐบาลระบายข้าวล่าช้ามาก โดยพิจารณาจากผลการดำเนินการระบายข้าวตามแผนการระบายข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2554/55 และ 2555/56 จำนวน 220,415 ล้านบาท เพียงวันที่ 30 กันยายน 2556 พบว่า สามารถระบายข้าวได้จำนวน 128,373 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 58.24 ของแผนการระบายข้าว หากรัฐบาลยังไม่สามารถระบายข้าวเพื่อนำเงินมาใช้หมุนเวียนในโครงการอาจจะต้องกู้เงินเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มสูงขึ้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการคลังของประเทศ รวมทั้งก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อเกษตรกรที่ยังไม่ได้รับเงินจากการจำนำข้าว
2.3 เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ดส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่มีฐานะร่ำรวยและฐานะปานกลาง ทั้งที่การดำเนินโครงการต่างๆ ของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรนั้น ควรให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรยากจนหรือมีรายได้น้อยเป็นลำดับแรก จากผลงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โดย ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ พบว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เข้าร่วมโครงการทุกรายได้รับประโยชน์จากโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้นจริง แต่ปรากฏว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีฐานะร่ำรวย (ร้อยละ 30 ของครัวเรือนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว) ได้รับประโยชน์จากโครงการร้อยละ 39 ของมูลค่าการจำนำ และเกษตรกรที่มีฐานะปานกลาง (ร้อยละ 40) ได้รับประโยชน์ร้อยละ 43 ขณะที่เกษตรกรที่มีฐานะยากจน (ร้อยละ 30) ได้รับประโยชน์เพียงร้อยละ 18
2.4 การดำเนินโครงการไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของการผลิตข้าว และไม่ทำให้เกิดการพัฒนาการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ซึ่งปัญหาการผลิตข้าวที่แท้จริงคือ ปัญหาด้านการผลิตและด้านการตลาด โดยปัญหาด้านการผลิต ได้แก่ ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ การขาดแคลนน้ำหรือปัญหาน้ำท่วม คุณภาพดิน ปัจจัยการผลิตไม่เพียงพอและราคาแพง การระบายของโรคและแมลง ทำให้ปริมาณผลผลิตข้าวเฉลี่ยต่อไร่ในอัตราที่ต่ำข้าวมีคุณภาพต่ำ และขายได้ในราคาถูก สำหรับปัญหาด้านการตลาด ได้แก่ การถูกกดราคารับซื้อ การปลอมปนข้าว ขาดมาตรฐานการรับซื้อโดยไม่ได้ซื้อตามขั้นคุณภาพ ทำให้เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการปรับปรุงคุณภาพให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด อีกทั้งนโยบายรับจำนำข้าวมีส่วนทำให้เกษตรกรไม่ให้ความสนใจกับการปรับปรุงคุณภาพข้าว
อีกทั้งผลงงานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โดย ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะยังพบว่าการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ทุกเมล็ดส่งผลให้ระบบการค้าข้าวแบบแข่งขันของภาคเอกชนถูกทำลายและทดแทนด้วยระบบการค้าข้าวของรัฐ และเกิดการสูญเสียตลาดส่งออกข้าวของไทย เนื่องจากรัฐบาลไม่มีความสามารถในการขายข้าวเหมือนพ่อค้าส่งออก รวมทั้งเกิดการสูญเสียในคุณค่าข้าวไทย
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลตั้งแต่ปีการผลิต 2554/55 เป็นต้นมา มีความเสี่ยงความไม่โปร่งใสและน่าเชื่อว่ามีการทุจริตสูง และยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนจำนวนหลายแสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลต้องรับผิดชอบตั้งงบประมาณชดเชยผลการขาดทุนและภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ทำให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินและเกษตรกรความเสี่ยงต่อระบบการคลังของประเทศ และขาดความยั่งยืนในการพัฒนาการผลิตข้าว อีกทั้งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกถือเป็นนโยบายแทรกแซงตลาดและสร้างภาระต่อเนื่องให้รัฐบาลต้องจัดเก็บรักษาข้าวสารไว้ในคลังสินค้ากลางและกลายเป็นพ่อค้าขายข้าวแข่งขันกับเอกชน ซึ่งนำไปสู่ช่องทางการทุจริตในขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น
เพื่อให้การดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือหรือแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และตรงกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเงินงบประมาณแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จึงมีข้อเสนอแนะขอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติโปรดพิจารณาดำเนินการดังนี้
1. พิจารณาทบทวนและยุติการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในฤดูกาลต่อไป โดยอาจพิจารณาใช้มาตรการหรือแนวทางการช่วยเหลือในลักษณะอื่นแทน เช่นการสนับสนุนปัจจัยการผลิต และให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรยากจนหรือมีรายได้น้อยเป็นลำดับแรก รวมทั้งให้มีการจัดทำฐานข้อมูลที่มีความครบถ้วน ถูกต้อง ครอบคลุมทุกกิจกรรมสำคัญที่ต้องดำเนินการและเป็นฐานข้อมูลเดียวกัน ในแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีกระบวนการติดตาม ประเมินผลการปฏิบัติงานตามโครงการอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับภาพรวมของโครงการทั้งประเทศเพื่อสามารถนำไปสู่การวางแผนการดำเนินงานตามโครงการในระยะต่อไปให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. กรณีการจ่ายเงินจำนำตามโครงการล่าช้า ซึ่งส่งผลกระทบและความเสียหายต่อเกษตรกรให้พิจารณาจ่ายเงินจำนำตามโครงการให้แก่เกษตรกรที่ยังไม่ได้รับเงินจากโครงการให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้องตลอดจน ขั้นตอนการดำเนินงานที่ถูกต้องครบถ้วน รวมทั้งกำหนดมาตรการเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบและความเสียหายให้แก่เกษตรกรดังกล่าวด้วย
3. การรายงานผลการดำเนินงานโครงการ พิจารณาเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการดำเนินงานให้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล เพื่อจัดทำรายงานปิดบัญชีและรายงานผลการดำเนินงานในทุกโครงการตั้งแต่ปีการผลิต 2547/48 เป็นต้นมา ส่งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบและเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบโดยเร็ว
4. เพื่อให้การบริหารจัดการข้าวตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจำหน่าย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ควรให้ความสำคัญต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาการผลิตข้าวที่แท้จริง คือ ปัญหาด้านการผลิตและปัญหาด้านการตลาด ควบคู่ไปกับการดำเนินงานโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวตามนโยบายของรัฐบาล โดยพิจารณาให้มีการบูรณาการแก้ไขปัญหาหารกผลิตข้าวอย่างเป็นระบบครบวงจรภายใต้กิจกรรมการส่งเสริมสนับสนุนของหน่วยงานรัฐ การยกระดับมาตรฐานคุณภาพการผลิตสินค้าข้าวไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงและส่งเสริมการพัฒนาตลาด การวิจัยมูลค่าเพิ่มของสินค้าข้าว
จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินต่อไป
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
นางสาวประพีร์ อังกินันทน์
รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
รักษาราชการแทน ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
http://www.isranews....27008-sson.html
โดย ซุ่มเงียบ on 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 - 16:34
โดย ซุ่มเงียบ on 26 มกราคม พ.ศ. 2557 - 21:20
ดีครับเลิกใช้บริการซะตั้งแต่วันนี้ส่วนที่แล้วมาถือว่าให้ทาน
วันนี้ไปคลองถมก็เจอร้านแผงลอยหลังตึกจอดรถเขียนป้ายเชียร์ทักษิณเต็มไปหมด เห็นแล้วได้แต่ปลง
Community Forum Software by IP.Board 3.4.6
Licensed to: serithai.net