ผมไม่สมน้ำหน้าพวกเขานะครับ ผมมองด้วยวิถีปุถุชนคนหาเช้ากินค่ำธรรมดาๆ คนหนึ่งว่า พวกเขาก็มีความชอบธรรมในการไขว่คว้าโอกาสเพิ่มรายได้ของเขา เพราะเขาเชื่อว่าผลิตผลของเขา ราคาดี ขายได้ราคาในตลาดในและนอกประเทศ เพราะเขามีหน้าที่ทำงานในส่วนของเขา เขารู้จักแค่ตลาดท้องถิ่นของเขา เขารู้แค่กลไกเปลือกนอกจากคำลวงของภาครัฐ เขารู้แค่คำจากนโยบายหาเสียงของพรรคที่เขาเลือก เขารู้แค่นั้น ...!
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดของกลไกการตลาดที่แท้จริง เขาคิดคำนวณที่ส่วนปลายยอดเท่านั้น ว่าขายไปแล้ว รอรับเงิน-จบ! แต่เหลี่ยมเล่ห์เพทุบายทุจริต พวกเขาก็พอมีในเหลี่ยมของเขา แต่ความคมในเหลี่ยมของเขา มันไม่เท่าความคมและ(หน้า)ด้านเท่าพลพรรคที่เขาเลือกเข้าไปบริหารประเทศ จึงได้เห็น ได้รู้เช่นเห็นชาติ ได้รับทุกข์ จากมีดปักหลัง/ธนูปักหัวเข่าจนล้มทั้งยืน อาการหนักขนาดพวกพ้องร่วมอาชีพทยอยลาโลกไปด้วยระบบทุนนิยมสามานย์ อ่อนแอตายห่าไป ใครจะสน! จากพลพรรคตัวแทนที่เขาไว้วางใจ ...
ต่อข้อถามว่าจะสมน้ำหน้าหรือจะสงสารดี ผมก็อยากจะเสนอความคิดส่วนตัวให้ลองตรองสักนิดว่า "ใจเขาใจเรา" นั้นยังคงหยิบยกเอามาใช้ได้เสมอๆ การอยู่ร่วมกันในสังคมซึ่งเป็นทุกภาคส่วนองคาพยพของโครงสร้างประเทศ ทุกอาชีพก็ล้วนแล้วแต่ช่วยพยุง ประคับประคอง และผลักดันชาติไปในทิศทางต่างๆ ได้ จะดีกว่าหรือไม่ที่ทุกภาคส่วนไม่ทอดทิ้งกัน เยียวยาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ผ่านไปด้วยกันให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาช่วยกันชี้แนะ ชี้นำ ไปในทางที่ถูกต้อง สุจริต เที่ยงธรรม ประชาชนทุกคนอยู่ได้ ชาติก็อยู่ได้ นี่มิดีกว่าหรอกหรือครับ ...
หากเกิดความคิดในแง่ลบ เราก็วาง "อุเบกขา" คือ เพิกเฉยไปเสีย
หากเกิดความเวทนาสงสาร เราก็จัดระเบียบระบบการคิด แล้ววาง "เมตตา กรุณา มุทิตา" คือ หยิบยื่นความช่วยเหลือตามความถูกต้อง ชอบธรรมและสามารถทำได้ไป
ไม่มากก็น้อย ธรรมะจะจัดสรรค์ให้ลงตัวเอง ตามธรรมชาติของสัตว์สังคมที่รู้จัก เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสภาพสิ่งแวดล้อมและความเป็นจริงครับ
ขออภัยที่เห็นต่าง