pglovethai

‘มันแน่นอก’ วิบัติกรรมจำนำข้าว

 

 

1) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประเมินว่า ถึงสิ้นปีงบประมาณ 2556 (สิ้นเดือนก.ย.นี้) รัฐบาลจะถมเงินแผ่นดินลงไปกับโครงการรับจำนำพืชผลการเกษตรสูงกว่า 800,000 ล้านบาท

ส่วนใหญ่คือโครงการรับจำนำข้าว

 

วงเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าว ฤดูการผลิต ปี 2554/2555เรื่อยมาจนถึงปี 2555/2556 รวมใช้ไปแล้วทั้งสิ้น 610,000 ล้านบาท (และอีก 50,000 ล้านบาท ใช้ในการรับจำนำยางพารา และมันสำปะหลัง)

 

แถมบีบเอาเงินสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.มาใช้ก่อน เกินกว่ามติคณะรัฐมนตรีด้วยซ้ำ

 

เรียกว่า ภาระทางการเงินจากโครงการจำนำข้าวนั้น “มันแน่นอก” เจียนตาย

 

เฉพาะปีแรกปีเดียวที่มีการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ข้าราชการกระทรวงการคลังประเมินผลขาดทุนสูงถึง 260,000 ล้านบาท

 

2) เฉพาะผลขาดทุนต่อปี 260,000 ล้านบาท ข้างต้น หากรัฐบาลนำไปจัดสรร จ่ายตรงให้ชาวนา หรืออุดหนุนการผลิตในรูปแบบต่างๆ จะเข้ากระเป๋าชาวนา 1.7 ล้านครัวเรือน ตกครัวเรือนละ 150,000 บาท

 

โดยที่ชาวนาสามารถนำข้าวไปขายในตลาดทั่วไป ได้เงินเข้ากระเป๋าตามความสามารถของแต่ละรายอีกต่างหาก ไม่ต้องถูกบีบบังคับให้ขายเฉพาะโรงสีที่เข้าร่วมโครงการจำนำข้าว แถมตั้งเงื่อนไขสารพัด ไม่ว่าจะพันธุ์ข้าว หรือการทุจริตโกงกินของเจ้าหน้าที่รัฐ

 

หรือเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้ในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ใช้เงินแผ่นดินปีละประมาณ 60,000 ล้านบาท เท่ากับว่า ถ้านำเงินที่ขาดทุนในโครงการจำนำข้าวไปทำโครงการประกันรายได้ โอนเงินเข้าบัญชีชาวนากว่า 3.7 ล้านครัวเรือน โดยตรง ชาวนาจะได้เงินส่วนต่างเข้าบัญชีมากกว่าสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ถึง 4 เท่าตัว

 

ไม่ต้องรอขายข้าว ไม่ต้องง้อใบประทวน ไม่ต้องลุ้นฝนแล้ง-น้ำท่วม

 

ที่สำคัญ ระบบการค้าการส่งออกข้าวไทยไม่เสียหาย ยังสามารถเป็นแชมป์ส่งออกข้าว ครองตลาดข้าวบนเวทีโลกไว้อย่างเหนียวแน่น ไทยจะยังเป็นประเทศปลูกข้าวไว้กิน-ขาย มิใช่ปลูกไว้เก็บ-เน่า เหมือนปัจจุบัน

 

3) อานิสงส์จากโครงการรับจำนำข้าว ช่วยให้โรงสีที่เข้าร่วมโครงการซื้อรถซูเปอร์คาร์ เป็นของเล่นให้ลูกหลานกันอุตลุด

แถมข้าวเขมร ก็สามารถส่งออกข้าวเปลือกมาประเทศไทยสูงเป็นประวัติการณ์

สะท้อนว่า น่าจะเป็นการนำเข้าข้าวเปลือกเขมรเพื่อมาสวมสิทธิ์ หรือแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการจำนำข้าว ซึ่งกินภาษีอากรของคนไทยทั้งประเทศ

 

4) ถึงสิ้นปีนี้ งบที่ใช้ในโครงการจำนำข้าวกำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 700,000 ล้านบาท

ภาระทางการเงิน “มันแน่นอก” ย่อมส่งผลต่อการตั้งงบประมาณแผ่นดินเพื่อจ่ายคืนให้แก่ ธ.ก.ส.

แถม ธ.ก.ส. ยังต้องการให้กระทรวงการคลังจัดหา หรือค้ำประกันเงินกู้เพิ่มเติม หรือออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ชดเชยสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.ที่ถูกบีบเอาเงินมาใช้ก่อนอีกด้วยซ้ำ

 

ถึงวันที่ 14 พ.ค. ธ.ก.ส.ต้องสำรองจ่ายเงินในการรับจำนำข้าวแล้วถึง 147,944 ล้านบาท

 

น่าคิดว่า เวลานี้ การก่อหนี้ตาม พ.ร.บ.หนี้สาธารณะเกือบเต็มเพดานแล้ว ยังสามารถก่อหนี้หรือกู้เงินได้อีกประมาณ 70,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งกระทรวงการคลังต้องสำรองวงเงินกู้นี้ไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ด้วย มิใช่จะนำมาถลุงในโครงการรับจำนำข้าวอย่างเดียว

ทางเดียวคือ จะต้องเร่งระบายข้าวในสต๊อกของรัฐ เพื่อเอาเงินมาหมุนในโครงการให้ได้ ซึ่งถ้าขายเมื่อไหร่ ผลการขาดทุนก็จะยิ่งประจานโครงการในทันที

 

ยิ่งกว่านั้น ยังถูกแฉประจานว่า ขายข้าวรัฐในราคาถูก ทำให้เอกชนบางรายซื้อไปขายต่อ ฟันกำไรเละเทะ

 

ดังกรณีตัวอย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก แฉประเด็นปัญหาการทุจริตการระบายข้าว ระบุว่า รัฐบาลระบายข้าวสารผ่านผู้ประกอบการโดยวิธีการลับ บริษัทที่ได้รับคือบริษัทของเสี่ยเปี๊ยก ซึ่งเป็นเครือข่ายของเสี่ยเปี๋ยงแห่งสยามอินดิก้า เสี่ยเปี๋ยงคือผู้ใกล้ชิดทักษิณ

 

“เสี่ยเปี๊ยกซื้อข้าวสารจากรัฐบาลราคาตันละ 5,700 บาท และขายต่อทันที โดยใช้แฟกซ์ใบเดียวราคาตันละ 12,000 บาท เงินเข้ารัฐบาล

5,700 บาทต่อตัน เข้าส่วนตัว 6,300 บาทต่อตัน”

 

ยังไม่นับการขายข้าวจีทูจีเก๊!

 

หากินกับข้าวโครงการรับจำนำข้าว!

 

นี่คือสาเหตุแท้จริงที่นักการเมืองไม่ยอมเลิกโครงการจำนำข้าว เพราะถ้าไม่รับจำนำข้าวก็จะไม่มีข้าวในโกดังของรัฐให้นักการเมืองและเครือ ข่ายได้ทำมาหากินกันอย่างตะกละตะกลามเช่นนี้

 

5) ภาระทางการเงินที่แน่นอกอยู่ในวันนี้ กำลังจะกลายเป็น “วิบัติกรรม” ของชาวนาไทย ตลอดจนระบบการผลิตและการค้าข้าวไทยทั้งระบบ

โครงการรับจำนำข้าว นอกจากจะถลุงเงินแผ่นดินมหาศาล ทำให้รัฐเหลือเงินที่สามารถจะนำมาใช้จ่ายในกรณีจำเป็นฉุกเฉินลดน้อยลงแล้ว โครงการนี้ยังทำลายความสามารถในการส่งออกของไทย พ่อค้าข้าวเอกชนหันมาหากินกับข้าวในโครงการรับจำนำของรัฐบาล เช่นเดียวกับชาวนาที่หันมาขายข้าวให้รัฐผ่านโครงการรับจำนำลูกเดียว

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ วันใดที่รัฐบาลไม่สามารถจะหาเงินมาดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป ภาระหนี้กองสูงท่วมข้าวเน่าในโกดังของรัฐ วันนั้นระบบการค้าข้าวและชาวนาไทยก็จะกระอักเลือด ชะงักงัน เพราะไม่รู้จะขายข้าวให้ใคร ตลาดส่งออกข้าวในโลกก็ถูกต่างชาติยึดครองแทนที่ไปหมดสิ้นแล้ว

 

วันนั้น ไม่ใช่แค่โครงการรับจำนำข้าวที่จะต้องล้มไปเอง แต่ชีวิตของชาวนาไทย ระบบการผลิตและการค้าข้าวทั้งระบบก็จะถึงคราววิบัติ!

คนอย่างนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกิตติรัตน์ ณ ระนองนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หรือแม้แต่นายโอฬาร ไชยประวัติ และทักษิณ ชินวัตร... คนพวกนี้หรือจะรับผิดชอบกับวิบัติกรรมที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจข้าวทั้งระบบ ของประเทศไทย?

 

ควายที่ไถนาเก่งๆ ยังมีคุณค่าเสียกว่า!

 

สารส้ม

 

http://www.naewna.co.../columnist/6994

 

“ ศาลรัฐธรรมนูญคือตัวปัญหาและเป็นอุปสรรคของระบอบประชาธิปไตย  เป็นสิ่งที่พวกเราต้องกำจัดคนพวกนี้ให้พ้นเส้นทางประชาธิปไตยเสียที  ทนกันมานานแล้ว  และเชื่อว่าถึงวันนี้ฝ่ายนิติบัญญัติในสภา  จะเดินหน้าชนกับศาลรัฐธรรมนูญแบบถึงไหนถึงกัน  พวกตุลาการฯกลัวเสียอำนาจ  ก็ต้องแสดงอำนาจเพื่อให้อำนาจตัวเองคงอยู่  การแก้ไขรัฐธรรมนูญ  มาตรา  68  นั้นจะทำให้พวกเขาหมดอำนาจ  ดังนั้นเขาจะต้องรับเรื่องแก้ไขมาตรา  68  ไว้  เพื่อยับยั้งไม่ให้แก้  ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่มีอำนาจ ”

                เป็นคำกล่าวของนายสมหวัง  อัสราษี  รองประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ  (นปช.)  ที่กล่าวถึงการชุมนุมของพวกเสื้อแดงว่า  เป็นสิทธิของพวกเสื้อแดงที่จะแสดงออกในฐานะประชาชนที่จะทวงถามความเป็นธรรม  ความยุติธรรมจากศาลรัฐธรรมนูญ  ที่พวกเขาเห็นว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญแล้ว  (  จากข่าวในหนังสือพิมพ์แนวหน้า  วันที่  25  เม.ย.56)

อ่านแล้วเหมือนเห็นควายกินหญ้าอยู่กลางทุ่ง

               ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้นในตัวบทกฎหมายรัฐธรรมนูญ  ว่าบัญญัติไว้อย่างไรบ้างตามที่คอลัมน์นี้ได้ยกมาให้เห็นในตอนที่แล้ว  นึกอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาตามใจชอบ  หรือตามที่ตัวเองต้องการ  แสดงความโง่เง่าเต่าตุ่นออกมาให้ผู้คนทั้งหลายที่รู้เรื่องดังกล่าวอยากถ่ม น้ำลายรด

                แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ  (นปช.)  เป็นมวลชนคนเสื้อแดง  ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นพวกเดียวกันกับนักการเมืองในฝ่ายบริหารและฝ่าย นิติบัญญัติจำนวนหนึ่ง  แม้จะมีไอ้พวกกะล่อนบางคนในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ  พยายามออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกันก็ตาม

                และผู้คนทั้งหลายในบ้านเมืองส่วนใหญ่ขณะนี้  ก็ตื่นรู้หูตาสว่างหมดแล้วว่า  เจ้าคนเสื้อแดงทั้งหลายนั้นไม่ว่าจะอยู่ในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ นั้น  ล้วนเป็นมือเป็นตีนของไอ้นักโทษหนีคุกคนนั้นทั้งสิ้น  ไม่ว่าไอ้คนหนีคุกจะสั่งให้ทำอะไรจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย  มันทำให้หมด  เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยอะไรอีกว่าการที่บ้านเมืองขณะนี้ตกต่ำเสื่อมทรามที่ สุดทุกด้านนั้น  แท้จริงแล้วมาจากใคร  ถ้าไม่ใช่ไอ้คนหนีคุกคนนี้

                มันอยากกลับบ้านอย่างเท่ๆไร้ความผิด

                ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มันโกงไปจ้างผีโม่แป้งให้มัน  ไม่ว่าจะเป็นผีฝ่ายบริหาร  หรือผีฝ่ายนิติบัญญัติ  รวมถึงผีที่กระจัดกระจายอยู่ตามกระทรวงทบวงกรมและรัฐวิสาหกิจบางแห่ง  รวมถึงองค์กรอิสระบางแห่งที่กระทำตัวเป็นผีโม้แป้งให้มันอยู่ในขณะนี้

                แม้มันจะสยายอำนาจผ่านผีโม่แป้งของมันเข้าไปเกาะ กุมการทำงานได้แทบทุกฝ่ายในขณะนี้ได้แล้วก็ตาม  แต่ก็ยังรวบไว้ในกำมือไม่ได้ทั้งหมด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายตุลาการซึ่งส่วนใหญ่ยังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างตรงไป ตรงมา  จนทำให้มันยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ  เพราะฉะนั้นมันและพรรคพวกของมันจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะก้าวเข้าไปจัดการกับ ฝ่ายตุลาการ  เพื่อให้ฝ่ายตุลาการเป็นผีโม่แป้งให้มันอีก  โดยเฉพาะฝ่ายตุลาการในศาลรัฐธรรมนูญขณะนี้  ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้บทบัญญัติที่เป็นอุปสรรคขวากหนามปิดกั้นมัน ให้หมดไปอย่างหมดสิ้น

                พร้อมๆกับการจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมและกฎหมายปรองดอง  ผ่านทางฝ่ายนิติบัญญัติที่มันควบคุมได้เป็นส่วนใหญ่ในขณะนี้

                คาถาที่มันและพรรคพวกสวดท่องกันอยู่ในขณะนี้ก็คือ  บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย  จำเป็นต้องแก้ไข  โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ

                มันและพรรคพวกของมันเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังใช้อยู่ในขณะนี้ไม่เป็น ประชาธิปไตย  ต้องแก้ไขใหม่ตามแนวทางของมัน  พวกมันกล่าวอ้างและด่าว่าศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะไปก้าวก่าย ฝ่ายนิติบัญญัติ  ทั้งๆที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นศาลที่รักษากฎกติกาต่างๆที่บัญญัติไว้ในรัฐ ธรรมนูญ  มิให้มีใครละเมิด

                การทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญผ่านการทำงานของตุลาการรัฐธรรมนูญนั้น  ไม่ใช่เป็นการก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติแต่ประการใด  เพราะมีการกำหนดอำนาจหน้าที่ในการทำงานของฝ่ายตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไว้ในรัฐ ธรรมนูญอย่างชัดเจนแล้ว  ว่าจะทำอะไรหรือจะวินิจนัยตัดสินเรื่องอะไรได้บ้าง  ดังที่ได้ยกมากล่าวให้ฟังในตอนก่อน

                มีแต่ฝ่ายนิติบัญญัติจากพวกส่วนหนึ่งในฝ่ายนี้ เท่านั้น  ที่ไปก้าวก่ายศาลรัฐธรรมนูญด้วยการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ใน กติกาสูงสุด  อย่างที่ได้เห็น  ได้ยินได้ฟังคำประกาศจากพวกฝ่ายนิติบัญญัติเสื้อแดง  ปฏิเสธอำนาจศาล

                ขอให้ชี้แจงเหตุผลในการร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ที่พวกมันทำกันก็ไม่ไปชี้แจง  ขอให้ส่งหนังสือชี้แจงไปก็ได้ถ้าไม่สะดวกจะไปด้วยตนเอง  มันก็ปฏิเสธไม่ส่งหนังสือ

                นี่หรือผู้มีหน้าที่ในการออกกฎหมายไปเที่ยวบังคับใช้คนอื่น  และนี่หรือคือผู้ที่ต้องการให้คนอื่นปฏิบัติตามกฎหมายที่มันออก

                นี่คือความเละเทะอย่างสุดๆในบ้านเมืองของเราในขณะนี้  ซึ่งเกิดจากการกระทำของไอ้พวกเรียกร้องประชาธิปไตย

 

 

คอลัมน์การเมือง

• กวนใจให้สะอาด ตาโป๋เป่าปี่

 

http://www.naewna.co.../columnist/6984

 

 

 

https://www.facebook...vincent.oldbook

 

 

"อย่าอิจฉาชาวนา"-"ปล่อยให้น้องคนเล็กได้ลืมตาอ้าปากบ้าง"-"รัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินมาถูกทางแล้วในเรื่องการจำนำข้าว"

ประโยคเหล่านี้ได้ยินกันบ่อยในคราวอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ของสภาผู้แทนราษฎร ฟากฝั่งรัฐบาล ในห้วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

หลังจากส.ส.ฝ่ายค้านเปิดประเด็นความไม่ชอบมาพากล ในขั้นตอนกระบวนการรับจำนำข้าว ภายใต้การนำของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นวาทกรรมที่ยกเอาชาวนาขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง สร้างความชอบธรรมให้กับโครงการ ในท่วงทำนองโครงการมีประสิทธิภาพเดินมาถูกทางและไม่จำเป็นต้องปรับปรุง

ประหนึ่งว่าใครโจมตีข้อบกพร่อง ใครให้ข้อมูลเพื่อทัดทานความเสียหายโครงการนี้ จะถูกตีกรอบให้เป็นพวกไม่รักชาวนา ไม่อยากให้ชาวนามีรายได้ ไม่อยากให้ชาวนาลืมตาอ้าปาก

แทนที่จะถกเถียงกันในเนื้อหาสาระ ให้เกิดปัญญาในการขับเคลื่อนนโยบาย ใช้เม็ดเงินให้มีประสิทธิภาพสมกับผู้แทนปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง ประหนึ่งว่า "ถามวัวตอบควาย"

โครงการจำนำข้าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เริ่มต้นในฤดูกาลปี 54/55 เรียกกันว่าข้าวนาปี 118,576 ล้านบาท ต่อด้วยข้าวนาปรังปี 55 ใช้เงินไป 218,670 ล้านบาท ตามมาด้วยข้าวเปลือกนาปี 55/56 ใช้เงินไป 219,738 ล้านบาทและมาถึงข้าวนาปรังปี56ล่าสุดใช้เงินไปอีก 31,724 ล้านบาท เมื่อถึงวันที่ 14 พ.ค.2556 ที่ผ่านมา และยังมีข้าวเข้าสู่โครงการอย่างต่อเนื่อง รวมใช้เงินไปแล้วทั้งสิ้น 588,708 ล้านบาท มีเงินคืนมาจากขายข้าวของรอบปี 54/55 บันทึกรายรับ ณ วันที่ 31 ม.ค. 2556 เป็นเงิน 20,850 ล้านบาท และมีรายรับเข้ามาจากการขายข้าวรอบปี 56 บันทึก ณ วันที่ 14 พ.ค. วงเงิน 59,145 ล้านบาท รวมรายรับ 79,995 ล้านบาท

รายจ่าย 5.88 แสนล้านบาท รายรับ 7.99 หมื่นล้านบาท หากเป็นธุรกิจ มีบริษัทไหนจะยืนหยัดอยู่ได้ เมื่อรายจ่ายสูงขนาดนี้และรายรับน้อยขนาดนี้ ซึ่งอาจมีประเด็นโต้แย้งว่ายังมีสินค้าคงเหลือในสต็อกรอวันจำหน่าย ยอดยังไม่ปิดบัญชี แต่สินค้าคงเหลือในสต็อกเสื่อมลงทุกวันๆ ด้อยค่าลงทุกวัน ไม่รวมค่าบริหารจัดการสต็อกที่ปรับขึ้นเป็นเงาตามตามตัว ต้นทุนดอกเบี้ย ต้นทุนค่าเช่าโกดัง ต้นทุนค่าแปรสภาพ

เป็นข้อมูลงบดุลโครงการจำนำข้าว ที่ถูกทวงถามจากสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน เป็นอันถูกเด้งจากจากภารกิจนี้ทันทีเมื่อทวงถามด้วยความเป็นห่วง ว่างบประมาณจะบานปลาย ต้องการให้ใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ

รายจ่ายไม่มีทีท่าสิ้นสุด เพราะรัฐบาลยังเดินหน้าโครงการต่อไปเรื่อยๆ กลายเป็นหนี้สะสมแบบดินพอกหางหมู 5แสนล้าน 6 แสนล้าน และอาจสูงไปถึง 8 แสนล้าน เพราะข้าวที่รับเข้ามาขายไม่ออก แม้จะมีเซ็นสัญญารัฐต่อรัฐหลายประเทศ อย่างที่บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ออกมายืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บุญทรง ไม่ได้ขยายความบันทึกสัญญาจีทูจี แต่ในบันทึกจะซื้อขายกันในราคาตลาด ขณะที่ราคาตลาดข้าวไทยอยู่ที่ 550 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ข้าวอินเดีย เวียดนามขายกันอยู่ที่ 400 ดอลลาร์ต่อตัน ผู้ซื้อจึงวิ่งไปเวียดนาม อินเดียก่อนมาไทย

รายรับที่เข้ามาจึงเป็นเพียงการขายข้าวถุงในประเทศในราคาถูกๆ ในกระบวนการที่ไม่โปร่งใส จากที่รับจำนำข้าวเปลือกมา 1.5 หมื่นบาทต่อตัน คิดเป็นข้าวสาร 2.3 หมื่นบาทตัน แต่ขายกันในราคา 1.4-1.5 หมื่นบาท ราคาข้าวถุงในประเทศจึงไม่วิ่งตามต้นทุน ในระหว่างทางเต็มไปด้วยกระบวนการรั่วไหลของเงินหลวงตั้งแต่สวมสิทธิชาวนา โกงความชื้น โกงตาชั่ง จนกระทั่งข้าวอยู่ในสต็อกเพื่อรอขาย

นี่คือผลขาดทุนมหาศาล นี่คืองบประมาณบานปลาย
ไม่ได้อิจฉาชาวนา ถ้าเงินเหล่านี้ตกถึงมือพวกเขาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ใช่เห็นพวกเขาเป็นเครื่องมือ
เป็นแค่เกราะกำบัง เพื่อความชอบธรรม ของกระบวนการฉ้อฉล

"อย่าอิจฉาชาวนา" จึงเป็นวาทกรรมที่อำมหิตต่อชาวนายิ่งนัก

 

 

http://www.bangkokbi...กรรมอำมหิต.html

 

https://www.facebook.com/HuaiToon

'หน้ากากขาว'โผล่สหรัฐยุโรป สื่อทั่วโลกรายงานต้าน'แม้ว'

3 มิ.ย.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปรากฎการณ์ม็อบหน้ากากขาวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเวลานี้ เป็นที่จับตามองของสื่อต่างประเทศเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าวรอยเตอร์ , VOICE OF AMERICA , สำนักข่าวเซอร์เบีย เป็นต้น โดยล่าสุด รอยเตอร์สรายงานจากนครลองแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า เมื่อเวลา 8.00-12.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ชาวไทยในลอสแองเจลิส ในนามกลุ่มหน้ากากขาว ยูเอสเอเกืยบ 100 คน  ได้นัดหมายกันผ่านโซเชียลมีเดียและ นสพ ภาษาไทยในชุมชน  เชิญชวนกันใส่หน้ากากขาว กาย ฟอกว์ เพื่อเดินขบวนประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และต่อต้านระบอบทักษิณ ที่ย่านไทยทาวน์ ในนครลอสแองเจลิส  สหรัฐอมเริกา  เมื่อตอนสายของวันอาทิตย์ ที่ผ่านมาเพื่้อขนานไปกับกลุ่มหน้ากากขาวในเมืองไทย  ทั้งนี้ยังมีนัดหมายกันอีกในหลาสๆเมืองของสหรัฐเช่น ชิคาดก และ นิวยอร์ค ที่จะเดินขบวนหน้ากากขาวต้านระบอบทักษิณเช่นเดียวกัน

 

 

 

http://www.naewna.com/politic/54143

 

  หุ้นตก รัฐบาลตก ยิ่งลักษณ์ตก แต่ "ประชาชน V for Thailand" ขึ้น จากถั่วเขียว ๑ เม็ด เพาะพันธุ์เป็นถั่วงอกขาวหมื่นต้น จากหมื่นต้นในโลกออนไลน์ ขยายเป็นไร่ถั่วเขียวสะพรึ่บเต็มทุ่งประเทศ และเมื่อวาน (๒ มิ.ย.๕๖) "ประชาชน V for Thailand" ต่างสวมหน้ากากขาวมารวมตัวประกาศ..."ขณะนี้กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว ข้าฯ ขอประกาศว่า ข้าจะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย"
    ความจริงใต้หน้ากากนี้ เขาว่า "ไม่มีเจ้าภาพ" เหมือนระบอบทักษิณที่ใกล้สิ้นซาก ถึงวันนั้น ก็จะเป็น "ผีไม่มีเจ้าภาพ"!
    แต่ละคนเขามากันเอง เรียกว่ามาด้วยใจตรงกัน ถ้าถาม..ใจอะไร คำตอบคือ ใจเกลียดระบอบทักษิณ และต้องการขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซากไปจากแผ่นดินไทย
    ถ้าจะถามต่อ "ใครเป็นตัวตั้ง-ตัวตี" ทำให้หน้ากากขาว V for Thailand  รวมและขยายตัวได้รวดเร็วขนาดนี้ จากสีลม ขยายมาเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ แล้วแพร่กระจายทีท่าว่าจะ "ทั่วประเทศไทย" ได้ภายในไม่เกินเดือน
    ใครเป็นตัวตั้ง-ตัวตี ผมไม่รู้!
    รู้แต่ "ตัวการ" ที่ทำให้เกิด คือ ความไม่ซื่อในพฤติกรรม และการบริหารราชการแผ่นดินในฐานะรัฐบาล "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-นปช.เพื่อไทย" ที่รวมเรียกว่า "ระบอบทักษิณ" นั่นแหละ เป็นตัวการทำให้เกิดปรากฏการณ์...หน้ากากขาว
    "รวมพลคนไม่เอาระบอบทักษิณ"!
    ปัจเจกบุคคลใด ใครมีเจตคติในพฤติกรรมด้านลบของ "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" ตรงกัน ก็หยิบฉวยหน้ากากขาวออกมาสวม ด้วยเจตคติทางปัญญา แล้วไปรวมตัวกันแสดงออก ณ จุดใด-จุดหนึ่ง ให้เห็นเป็นเจตคติทางการกระทำ
    "ยุคแดง-คอมมิวนิสต์" ๘ สิงหา เรียกกันว่า "วันเสียงปืนแตก"
    แต่วานนี้ ๒ มิถุนา เป็น "ยุคแดง-ทักษิณ" เรียกกันว่า "วันปฏิญญาล้างระบอบทักษิณ" เริ่มด้วย ประชาชน V for Thailand รวมตัวกลางสี่แยกราชประสงค์ ชูป้ายและตะโกน
    ๑."ยิ่งลักษณ์....ออกไป"
    ๒."ขณะนี้ กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว ข้าฯ ขอประกาศว่า ข้าฯ จะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย"
    แล้วยิ่งลักษณ์รู้หรือยัง?
    เห็นไปสะเดาะเคราะห์-ต่อชะตา ที่ศรีลังกาโน่น ให้พระทำพิธีนำ "พระธาตุเขี้ยวแก้ว" ขึ้นครอบศีรษะ ตามเคล็ดที่เชื่อกันว่า ทำเช่นนั้นแล้วจะเสริมดวง-เสริมฐานคือตำแหน่งนายกฯ ให้มั่นคง-แข็งแรง เหมือนฟันส่วนกรามของพระพุทธองค์
    นี่แหละที่เขาว่า "คนใกล้ตายเห็นอะไรก็คว้าหมด" พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า ใครกราบไหว้บูชาแล้วพระองค์จะช่วยได้ มีแต่ที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
    ธัมโม หเว รักขติ ธัมมาจารึง แปลว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
    ความหมายตรงตัวคือ กราบไหว้ อ้อนวอน บวงสรวง สะเดาะเคราะห์-ต่อชะตา "ช่วยไม่ได้" มีแต่นำธรรมะที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วไปประพฤติปฏิบัติ แล้วการประพฤติปฏิบัติดีนั้น จะช่วยคุ้มครองรักษาผู้นั้น
    -อยู่ เพื่อแยก
    -กู้ เพื่อโกง
    -บริหาร เพื่อกิน
    ถ้าใครเป็นผู้นำรัฐบาลแล้วประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ต่อให้แซะเอาสถานที่ ประสูติ-ตรัสรู้-แสดงปฐมเทศนา-ปรินิพพาน ขึ้นมาเทิดหัว-ทับร่างด้วย ก็ไม่สามารถช่วยให้หนีพ้น
    "กรรมชั่ว-เช็กบิล"!
    ไม่ต้องดูอื่นไกล ศาลปกครองตัดสินให้คุณถวิล เปลี่ยนศรี กลับไปเป็น "เลขาฯ สมช." นายกฯ ทราบข่าวตอนอยู่ศรีลังกา ทั้งที่กายอยู่แดนพุทธภูมิแท้ๆ แต่ใจกลับอยู่ในแดนนรกภูมิ
    โฆษกขวัญใจรายงานผลให้ทราบ แทนที่จะมีสำนึกอะไรดีๆ ขึ้นมาบ้าง และเข้าใจคำว่า "กรรมเก่าชดใช้-กรรมใหม่ไม่ก่อ"
    กลับก่อด้วยสั่ง "อุทธรณ์" ซะนี่!
    เรียกว่า ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ "คนดี-ข้าราชการดี" ได้กลับเข้าทำหน้าที่ตามเดิม แล้วแบบนี้ ไม่ต้องไปทำพิธีเสริมดวง-ต่อชะตา เพื่อได้เป็นนายกฯ นานๆ หรอก ขอแค่ว่าเมื่อหมดแรงบุญ ขอแรงบาปอย่าซ้ำเติมถึงขั้นต้องหอบลูก-หอบผัวเซซัง หนีซังเต ร่อนเร่นอกแผ่นดิน
    นั่นก็ยังจะ "ขอมากไป" ด้วยซ้ำ!
    พูดถึงเรื่อง "ตก" วันนี้ตลาดหุ้นจะลงเหวต่อหรือเปล่าไม่ทราบ ความจริงก็ไม่แปลกอะไรหรอก คนเล่นหุ้นควรเข้าใจ ในขณะที่คุณลุ้นให้ขึ้น "เพื่อขาย" ก็มีอีกฝ่ายลุ้นให้ลง "เพื่อซื้อ" ไม่เป็นแบบนี้ มันก็เล่นกันไม่ได้ เอางี้...ผมจะให้ทีเด็ด ๓ ตัวเลย รับรอง...รวยโลด
    สถานการณ์ตอนนี้ เป็น "รัฐบาลขาลง" ทำอะไรก็ผิดๆ พลาดๆ  กระทรวงศึกษาฯ ทำงบประมาณซื้อรถตู้นักเรียน ซุกไว้เผื่อฟลุกพันกว่าล้าน ก็ถูกจับได้ ต้องเถลือกไถลว่า...พิมพ์ผิด
    เลขาฯ รัฐมนตรี "มือทำ" ประมูลข้าวถูกเอาไปเวียนเทียนขายราคาประกัน ถูกฝ่ายค้านจับได้ จาก "ไอ้เปี๋ยง" มาถึง "ไอ้เปี๊ยก" สิ่งที่หัวหน้ารัฐบาลและรัฐมนตรีทำได้ คือ...ทำหน้าเหียกๆ
    กรมศุลกากรของนางเบญจา หลุยเจริญ "ขวัญใจตระกูลชิน" ทำตัวเลขส่งออกเดือนเมษา สำหรับใช้พิจารณานโยบายเศรษฐกิจนี่ก็...ผิดอีก
    รองนายกฯ ไว้ลาย ก็ต้องอุ้มกระเตงไปจน...เอวแฉะ!
    เสื้อแดงก็หน่าย กับการถูกหลอกใช้เพื่อคน***เมือง เป็นรัฐบาลมาปีกว่า ทำอยู่ ๒ เรื่อง ออกกฎหมายให้ทักษิณอยู่เหนือกฎหมาย กับกู้เอาเงินก่อน งานไว้พูดทีหลัง แบบนี้บ้านเมืองไม่พังวันนี้ แล้วจะไปพังวันไหน
    แล้วกรุงเทพฯ ก็ "ระเบิดลง" ประเดิมที่หน้ารามฯ ๔๓/๑
    แล้วประชาชน "คนหน้ากากขาว" ไม่เอาระบอบทักษิณก็สะพรึ่บ
    แล้วข่าวลือ "ย้าย ผบ.ทบ." ก็อึงอลปนข่าวปฏิวัติรัฐประหารกลวงๆ
    แล้วสัญญาณเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทยเริ่มไถลลง เริ่มเป็นจริง
    แล้วความไม่มั่นใจ บวกความเบื่อหน่ายในรัฐบาล ก็ระบาดทั่ว
    เนี่ย... ภาพรวมของสถานการณ์อย่างนี้ เขาว่าเป็นสัญญาณลบต่อตลาดหุ้น แต่ไม่เป็นไร รัฐบาลพังได้ ส่วนตลาดหุ้นแค่ตกได้ แต่พังไม่ได้
    ดังนั้น ในร้ายก็มีดี ใครมีตังค์ไปซื้อหุ้นแอดวานซ์ หุ้นดีแทค หุ้นบีทีเอส และหุ้นซีพีออลไว้ ทำไมผมจึงให้ซื้อหุ้นพวกนี้ เหตุผลของผมอยู่นอกเศรษฐศาสตร์ตลาดทุน แต่อยู่ในเศรษฐกิจจริงยามสถานการณ์บ้านเมืองเต็มไปด้วยความสับสน-ข่าวลือ และมวลชนเคลื่อนไหว
    เพราะยิ่งมีข่าวลือ ข่าวสับสน คนก็ยิ่งแสวงหาคำตอบ อุปกรณ์ที่สนองตอบดีที่สุดคือ โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต ท่านคิดดูซี ใครจะนัดหมายไปม็อบ ก็ต้องโทรศัพท์ ใครจะเช็กข่าว-ปล่อยข่าว ก็ต้องโทรศัพท์ พวกนักการเมืองยิ่งต้องใช้กันคนละ ๓ เครื่อง ๔ เครื่อง
    เฉพาะพวกเพื่อไทย รุมโทร.ต่างประเทศไปหานายใหญ่ ค่ายมือถือรวยบานตะไทเลย คุณเอ๊ย!
    AIS, DTAC รับเละ คนถือสั้นถือยาวยังมีปันผลปลอบใจ แต่ถ้าใครชอบทรู ต้องทำใจเป็นนักลงทุนเพื่ออนาคตกาล ปันผลยังไม่มี เพราะหนี้เยอะหน่อย
    และยิ่งมีม็อบ มีหน้ากากขาวรวมตัว การเดินทางด้วยวิธีไหนก็ไม่สะดวกสบายเท่าใช้รถไฟลอยฟ้า BTS ประชาชนคนเคลื่อนไหว ไม่ว่าหน้ากากขาว หน้ากากแดง หรือม็อบ หรือคนตามดู-ตามแห่ หรือคนหนีม็อบ ใช้รถเก๋งก็ไม่สะดวก ไปรถใต้ดินเผลอๆ ไม่โผล่ นั่งรถเมล์มีสิทธิ์ถูกจี้เอาไปเผา  
    เอาแน่ๆ ไปบีทีเอส!
    และที่แน่ไปกว่านั้น ขนาดวันเผาบ้าน-เผาเมือง ๑๙ พฤษภา ๕๓ ไม่ว่าโจรเสื้อดำ-เสื้อแดง ไม่ว่าคนทั่วไป และไม่ว่าใครๆ ที่มาชุมนุม เจอที่ไหนเป็นต้องแวะเข้าไปที่นั่น
    คือเซเว่น อีเลฟเว่น!
    "หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา" นั่นแหละ เซเว่นเหมือนหน่วยส่งกำลังบำรุงสหประชาชาติ ไม่เลือกฝ่ายไหน มีตังค์แวะเข้าไปขายให้ทุกคน ไม่มีตังค์ก็แวะได้ ทุบกระจกซักเปรี้ยง-สองเปรี้ยง ขนเกลี้ยง แถมไมโครเวฟเอาไปอุ่นตะหาก
    มิถุนาปีนี้ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ ไม่ได้ขอลาบวช ยิ่งลักษณ์ก็ยังไม่ได้ขอลาออก ส่วนสมศักดิ์ "ประธานรัฐสภา" จะขอลาทักษิณตายหรือไม่ พกมือถือเช็กข่าว-นั่งบีทีเอสไปรวมพล-หิวทนไม่ไหวก็แวะเซเว่น เป็นพฤติกรรมจำเป็นไตรมาสนี้ และจะมี QE ถึงไตรมาส ๔ โน่น
    ตั้งแต่เดือนสิงหา ควร "เพิ่มสินค้า" เป็นการด่วน!

 

• เปลว สีเงิน

3 June 2556 - 00:00

 

http://www.thaipost....ws/030613/74459

 

ขอยืมภาพมาจากลิงค์ของคุณ lovelygam

 

 

 

งบรถตู้สูงเกินจริง... ชุ่ยหรือชั่ว?

รัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารประเทศราวกับเด็กเล่นขายของ...

 

ยิ่งเมื่อติดตามดูการพิจารณางบประมาณแผ่นดิน ปี 2557 มูลค่ากว่า 2.5 ล้านล้านบาท ก็ยิ่งสิ้นหวัง

 

แม้แต่งบประมาณแผ่นดิน ก็มีการจัดทำกันแบบชุ่ยๆ หรือส่อเจตนาชั่วร้าย

 

สืบทอดดีเอ็นเอ (DNA) มาจาก “ระบอบทักษิณ” อย่างแท้จริง

 

1) มีการตั้งงบกลางมหาศาล มูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท

เป็นเงินแผ่นดินที่ขึ้นตรงกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

รวบอำนาจการตัดสินใจใช้งบประมาณ

มาแนวเดียวกับรัฐบาลทักษิณที่นิยมยัดเงินแผ่นดินมาไว้เป็นงบกลางมหาศาล

 

สุดท้าย ก็มักจะถูกนำไปใช้เป็น “งบหาเสียง” ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

 

 

2) อุบาทว์ที่สุด เห็นจะเป็นกรณีงบจัดซื้อรถตู้ เพื่อนำมาใช้ตามนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็ก

นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ จับเท็จได้กลางสภา กรณีกระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดซื้อรถตู้โดยสาร ขนาด 12 ที่นั่ง (ดีเซล) จำนวน 1,000 คัน ตั้งวงเงินงบประมาณ 2,343 ล้านบาท

 

คิดเฉลี่ยต่อคัน ตั้งงบไว้ซื้อรถตู้คันละ 2.3 ล้านบาท

 

ขณะที่ราคาขายรถตู้แบบเดียวกันนี้ตามท้องตลาด คันละ 9 แสนกว่าบาทเท่านั้น

เท่ากับว่า ตั้งงบไว้สูงเกินราคาจริงในท้องตลาด คันละประมาณ 1.3 ล้านบาท

 

คิดเป็นเงินส่วนเกินกว่า 1,300 ล้านบาท!

 

คุณพระคุณเจ้า!

 

ถ้าไม่มีการท้วงติง ไม่ถูกจับได้ไล่ทัน ปล่อยให้รัฐบาลดำเนินการเอาเงินแผ่นดินไปซื้อรถตู้ในราคานี้จริงๆ เงินส่วนเกินเหล่านี้ จะตกเข้ากระเป๋าใคร?

 

บริษัทขายรถ? นายหน้าขายรถ?

หรือจะมี “เงินทอน” กลับมาสู่กระเป๋าใคร?

 

3) นโยบายบังคับยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ถูกต่อต้านจากคนในวงกว้าง

รัฐบาลอ้างว่าไม่มีงบประมาณช่วยเหลือโรงเรียนขนาดเล็ก

แต่กลับมีงบมาจัดซื้อรถตู้ราคา(แพง)พิเศษ

 

แถมตั้งราคาชนิดเปิดทางให้มี “เงินทอน” อื้อซ่า

 

พฤติกรรมแบบนี้ หากปล่อยผ่านไป ก็ส่อว่าจะเป็นการหากินสกปรก บนคราบน้ำตาของเด็กน้อย ลูกหลานคนจนในชนบท ชั่วร้ายกว่าปลวกมอดที่กัดกินเสาโรงเรียนเสียอีก

 

เพราะบังคับยุบโรงเรียนของเขาไม่พอ ยังหากินจากงบรถตู้ที่นำมาใช้เป็นตัวช่วยนโยบายบังคับยุบโรงเรียนของพวกเขาด้วย

 

4) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงประเด็นอื้อฉาวข้างต้นว่า การจัดซื้อรถตู้โรงเรียน 1,000 คัน จริงๆ กระทรวงศึกษาฯ ตั้งงบไว้แค่ 1,232 ล้านบาท

เท่ากับราคาคันละ 1.232,400 บาท ตามราคากลางของสำนักงบประมาณ

 

ส่วนที่ปรากฏตามเอกสารงบประมาณว่าตั้งงบไว้จัดซื้อรถตู้สูงถึงคันละ 2.3 ล้านบาทนั้น เป็นเรื่องของความผิดพลาดทางเอกสารงบประมาณ

 

พูดง่ายๆ ว่า พิมพ์ผิด!

 

อุ๊บ๊ะ! ตกลงแก้ตัวว่า... เป็นความชุ่ย ไม่ใช่ความชั่ว?

 

เอากันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ?

 

คิดว่า คนไทยกินหญ้าทั้งประเทศอย่างนั้นหรือ?

พิมพ์เอกสารขอเงินไปใช้ผิด พิมพ์ตัวเลขเกินไปหลักพันล้านบาท ถ้าเป็นบริษัทส่วนตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ป่านนี้สงสัยผู้บริหารถูกไล่ออกไปแล้ว

 

5) พฤติกรรมการอ้าง ส่อสันดานระบอบทักษิณ

 

“ติ๊กผิด” - กรณีแจ้งการซื้อขายถ่ายโอนหุ้นชินคอร์ปฯ ของตระกูลชินวัตร นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ครั้งแรกระบุว่าการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ จากแอมเพิลริชนั้น เป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เมื่อตรวจสอบไม่พบรายการซื้อขายในตลาด ก็แจ้งแก้ไขว่าเป็นการซื้อขายนอกตลาด โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ขณะนั้นดูแลตลาดหลักทรัพย์อยู่ ก็ออกมาช่วยแก้ต่าง โดยสรุปผลสอบให้เสร็จสรรพว่า “เกิดจากการกรอกข้อมูลผิดพลาด (ติ๊กผิด)”

 

“พิมพ์คุณหญิงผิด”-พฤติกรรมการทำตั๋วสัญญาใช้เงิน ถูกจับพิรุธว่าเป็นการทำหลักฐานย้อนหลังหรือไม่ เพราะขณะที่อ้างว่ากู้ยืมเงินกันนั้น นางพจมาน ชินวัตร ยังไม่ได้เป็น “คุณหญิง” แต่กลับระบุในตั๋วสัญญาใช้เงินว่า  “คุณหญิงพจมาน” ครั้งนั้นก็มีการแก้ตัวทำนองว่า “พิมพ์ผิด”

 

“หยิบผิด”-กรณีทีมทนายความของทักษิณในคดีที่ดินรัชดา ถูกจับได้คาศาลว่าเอาเงินสองล้านบาทใส่ถุงขนมไปให้เจ้าหน้าที่ศาล ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 6 เดือน ครั้งนั้นทีมทนายก็พยายามแก้ตัวว่า “หยิบถุงผิด”

 

กรณีงบรถตู้ ก็อ้างว่า “พิมพ์ผิด”

 

เรียกว่า สืบทอดสันดานระบอบทักษิณ

 

จะชุ่ย หรือชั่ว ก็พิจารณากันดู!

 

 

สารส้ม

http://www.naewna.co.../columnist/6937

'หน้ากากขาว'โผล่กลางกรุง! รวมตัวต้านระบอบ'ทักษิณ'

 

 

วันนี้ 31 พ.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ที่หน้าเพจ Dislike Yingluck For Concentration Citizen ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านหน้าเพจ โดยระบุว่า ประกาศข่าวด่วน. ขณะนี้กำลังมีการรวมตัวแถวหน้าโรงแรมดุสิตธานี. ขอความอนุเคราะห์จากพี่น้องในเพจ. คนไหนว่างรีบไปด่วนตอนนี้ใครมีหน้ากากขาวเอาไปด้วยถ้าไม่มีที่นั้นมีแจกไป ตอนนี้ด่วนครับ

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะนี้ได้มีกลุ่มคนจาก กลุ่มพลังธรรมาธิปไตย สนามหลวง ร่วมกับ กลุ่ม Woman Thailandที่ได้ใช้เฟซบุ็กเชินชวนคนไทยออกมาร่วมต่อต้านแสดงพลังล้มล้างระบอบ ทักษิณ โดยใช้สัญลักษณ์เป็นหน้ากากขาว ได้ออกมารวมตัวปลุกกระแสให้คนออกมาร่วมกันแสดงพลัง  ซึ่งจนถึงขณะนี้ต่างมีผู้คนที่ได้รับข่าวสารผ่านทางโลกออนไลน์ต่างเดินทางมา ร่วมแสดงพลังกันเป็นจำนวนมากแล้ว 

 

 

 

 

 

 

จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/politic/53825

ถ้าเริ่มนับจาก ๑ มิถุนา. "พรุ่งนี้" ยังเหลือเวลาให้อีก ๑ ไตรมาส สำหรับการซื้อ-ขายประเทศไทย ในระบอบทักษิณ จากยุคบกพร่องโดยสุจริต ยุคติ๊กผิด ยุคถุงขนมผิด จนมาถึงวันนี้ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงยุค "พิมพ์ผิด" ผิด...เพราะฝ่ายค้านจับได้ ถ้าจับไม่ได้ ก็...โกงไม่เป็นไร ได้แล้วเอามาแบ่งกัน พันกว่าล้านเท่านั้นเอง

    ดังนั้น ขอบอก จากนี้จนถึงสิงหา. ใครก็อย่ากระมิดกระเมี้ยน "โกงได้-โกงเอา" ขืนช้า นาทีทองผ่านไป ตานี้แหละ...***จะมาเยือน (พวกมัน) แล้ว!

    เยือนใคร "ชาย-หญิง" ไม่บอก ไม่ได้มาเยือนผมก็แล้วกัน แต่วันนี้ผมไม่อยากคุยในเรื่องที่ท่านอยากฟัง อยากคุยในเรื่องที่ผมอยากคุย คือเรื่อง "รถเฟอร์รารี" ไถนา ที่คุยกันไปแต่วาน ครั้นผมอ่านข่าวคืบหน้า ก็เกิดอาการคัน อันเป็นผลสืบเนื่องจากโรคอิจฉาตาร้อน

    เท้าความซักนิด สำหรับคนความจำสั้น แต่ความแค้นยาว จากที่ยิ่งลักษณ์คุยว่า โครงการจำนำพืชผลเกษตรทำให้ชาวไร่-ชาวนามีเงินมากขึ้น แล้วก็นำเงินที่ได้นั้นใช้จ่ายซื้อหาสินค้าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ

    เกียรติ สิทธีอมร ส.ส.ประชาธิปัตย์ อภิปรายในสภาฯ ว่า เงินกว่า ๖.๗๑ แสนล้าน ที่รัฐบาลทุ่มลงไปในโครงการนั้น คนได้มากไม่ใช่ชาวไร่-ชาวนา หากเป็นพวกโรงสีกว่า ๖๐๐ โรง เครือข่ายระบอบทักษิณ ฟาดกันเบาะๆ โรงละไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน

    "ขณะนี้สินค้าขายดีแถบภาคอีสานคือ รถเฟอร์รารี รถปอร์เช่ ที่ลูกหลานเจ้าของโรงสีเป็นผู้ซื้อ"!

    ก็ในขณะที่ ส.ส.เกียรติอภิปรายในสภาฯ มีรถเทรลเลอร์บรรทุกรถสปอร์ตมหาเศรษฐีคันละ ๒๐-๓๐ ล้าน ร่วมสิบคัน มีเฟอร์รารีด้วย ทั้งหมดเขาว่าราคานับร้อยล้าน วิ่งไปตามถนนมิตรภาพ พอถึงกลางดง เขตอำเภอปากช่อง โคราช ก็เกิดไฟไหม้รถสปอร์ตที่บรรทุกไปบนรถเทรลเลอร์

    คนขับชื่อนายเอกพัฒน์ วิลามาศ ตกใจ ไม่รู้อีท่าไหน รถเทรลเลอร์ไถลลงไปร่องกลางถนน ไฟเลยลุกลามเผารถสปอร์ตมหาเศรษฐีไป ๕-๖ คัน มีเฟอร์รารี ๑ คัน เบนท์ลีย์ ๒ คัน บีเอ็มดับเบิลยู ๑ คัน ลัมโบกินี ๑ คัน เบนซ์ ๑ คัน

    นายเอกพัฒน์บอกตำรวจ สภ.กลางดง ว่า บรรทุกรถทั้งหมดนั้นจะไปส่งที่ศรีสะเกษ ส่วนจะไปส่งที่ไหน ส่งให้ใคร รถหรูทั้งหมดเป็นของใคร ไม่ทราบเลย!?

    จากที่ไม่ตอบความจริง ทำให้ผมจับความจริงได้ว่า ที่มา-ที่ไปอันปกปิด สะท้อนความจริงระบบบริหารและข้าราชการของบ้านเมืองใต้ระบอบทักษิณ เรื่องแรก ที่ยิ่งลักษณ์บอก โครงการรับจำนำทำให้คนมีเงินมากขึ้น เป็นเรื่องจริง แต่คนนั้น ไม่ใช่ชาวไร่-ชาวนา

    เป็นพวกแกนนำหัวคะแนน-พวกโรงสี ที่ร่วมโครงการรับจำนำข้าวกับรัฐบาล!

    คำอภิปราย ส.ส.เกียรติที่แฉกลโกงโครงการจำนำพืชผลเกษตรว่าคนรวยคือพวกโรงสี สอดคล้องกับ "เหตุการณ์ประจักษ์" รถเก๋งสปอร์ตคันละ ๒๐-๓๐ ล้าน เป็นสินค้าขายดีทางอีสาน

    แต่โดยตรรกะแล้ว ถึงชาวนาขายข้าวรวยขนาดไหน คงไม่ล้นเหลือถึงขั้นซื้อรถสปอร์ตป้ายแดงคันละ ๒๐-๓๐ ล้าน ขี่แทนควายแน่!

    ถึงได้จริง-รวยจริง ด้วยเงินที่ได้จากหลังสู้ฟ้า-หน้าสู้ดิน แต่ละบาทมาจากหยาดหงื่อ ไม่ได้มาง่ายๆ จากการโกงบ้าน-กินเมือง ฉะนั้น จะซื้ออะไรแต่ละที "คิดแล้ว-คิดอีก" จะไม่ซื้อง่าย-ขายคล่องเหมือนพวกรวยจากจ้องคอรัปชั่น

    จากเหตุผลนั้น รถสปอร์ตเหล่านี้ ก็มีแต่พวกโรงสี พวกพ่อค้าและนักการเมืองระบอบทักษิณในโครงข่ายรับจำนำที่รวยล้นเหลือเท่า นั้น เป็นผู้สั่งซื้อ หรือเป็นเจ้าของ

    มติชนเขารายงานข่าวนี้ว่า.....

    ขณะนี้ตำรวจพบความผิดปกติ ไม่มีผู้แสดงตัวเป็นเจ้าของรถ จึงสงสัยว่า อาจเป็นรถที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายไปสวมทะเบียนที่ศรีสะเกษ ซึ่งตามแนวทางสืบสวนอาจเป็นของนักการเมืองชื่อดังภาคกลางคนหนึ่ง

    เอาล่ะซี...แล้วทางตำรวจเขาสอบสวนได้ความว่าไงล่ะ ลองตามไปดูกันซักหน่อยเป็นไง พ.ต.อ.ภาณุ บูรณศิริ รองผู้บังคับการสืบสวนตำรวจภูธร ภาค ๓ บอกว่า

    "เบื้องต้น จากการตรวจสอบใบส่งสินค้า ทราบเพียงว่ารถสปอร์ตทั้งหมดกำลังถูกนำไปส่งให้กับลูกค้าที่จังหวัดศรีสะเกษ แต่ในใบนำส่งไม่ได้ระบุชื่อผู้รับแต่อย่างไร ชุดสืบสวนได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กองพิสูจน์หลักฐาน และขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ ในการตรวจหาใบสั่งซื้อ ใบขนย้าย เลขตัวถังรถ และเอกสารสำคัญอื่นๆ

    เพื่อให้ทราบที่มาของรถสปอร์ตทั้งหมดว่าเข้ามาได้อย่างไร ผ่านขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และมีใครเป็นผู้นำเข้ามา คาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบไม่เกิน ๑ สัปดาห์"

    ครับ..การตั้งประเด็นสอบของท่าน พ.ต.อ.ภาณุถูกต้องทั้งหมด นอกจากเป็นประเด็นสอบสวนเพื่อคลี่คลายแล้ว ยังเป็นประเด็นคาใจของชาวบ้านด้วย

    ท่านขอเวลาไม่เกิน ๑ สัปดาห์ ก็รอดูท่าน อย่าเพิ่งไปฟันธงว่า ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปเป็นบ้องกัญชากันเลย จริงๆ แล้วคดีอย่างนี้ไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษอะไร ใช้แค่ความซื่อตรงต่อหน้าที่ ก็จะมีคำตอบ

 

    ที่ "ตรง-จริง" ให้ประชาชนทราบ!

    กุญแจดอกแรกที่ไขโจทย์คือ "นายดนัย โคตรอาสา" ขนส่งจังหวัดศรีสะเกษ เขาบอกนักข่าวว่า"

    เนื่องจากยังไม่มีการนำเอาหลักฐานประกอบการจดทะเบียนมายื่นแสดงต่อเจ้า หน้าที่ เพื่อติดต่อขอจดทะเบียนรถทั้งหมดแต่อย่างใด ทำให้ไม่ทราบว่ารถหรูทั้งหมดนั้นใครสั่งเข้ามา และไม่ทราบว่าจะมีการนำเอาหลักฐานมาจดทะเบียนรถที่ศรีสะเกษหรือไม่ อย่างไร"

    อืมมม...กุญแจดอกนี้ยังไม่ใช่ ฟังตำรวจเห็นแสงสว่าง แต่พอฟังขนส่งจังหวัดมืดลงไปอีก ความจริงก็ถูกของท่าน รถเหล่านั้นยังไม่อยู่ในเขตแดนอำนาจท่าน ฉะนั้น อย่าไปข้องใจท่านเลย

    แต่เอางี้...ผมขอตั้งประเด็นเพื่อคลำไปหาต้นตอบ้าง บนสมมุติฐานว่า พอเกิดเหตุ พบรถสปอร์ตป้ายแดงถูกไฟไหม้ หลักฐานแรกที่ยึดเป็นกุญแจไขเพื่อสาวไปหาเจ้าของ

    ๑.นายเอกพัฒน์ วิลามาศ คนขับรถเทรลเลอร์ พร้อมเอกสารกำกับการขนส่ง
    ๒.รถเทรลเลอร์ ฮีโน่ ทะเบียนหัวลาก ๖๐-๒๙๑๕ กรุงเทพมหานคร ท้ายพ่วง ๖๐-๒๙๑๖ กรุงเทพมหานคร
    ๓.เลขทะเบียนป้ายแดงแต่ละคัน
    ๔.เลขตัวถังรถ เลขเครื่อง และรุ่น

 

- สอบนายเอกพัฒน์ ต้องบอกได้ว่า เป็นลูกจ้างขับรถบริษัทไหน บรรทุกรถหรูทั้งหมดมาจากจุดไหน และจุดหมายปลายทางไปส่งให้ใคร หรืออู่ไหน ห้างไหน หรือวิ่งผ่าเข้าไปส่งในฝั่งเขมรเลย

    ถึงใบส่งสินค้าไม่ระบุผู้รับ แต่นายเอกพัฒน์ต้องรู้ ใครเป็นผู้จ้างขน ต้นทางมาจากไหน และไปส่งให้ใครตรงจุดไหน ถ้าไม่รู้ไปส่งให้ใคร-ตรงไหน ขโมยเขามางั้นหรือ?

    - รถเทรลเลอร์เป็นของใคร เช็กได้จากทะเบียนทั้งรถลากและรถพ่วง เมื่อรู้เป็นของใคร เรียกตัวมาสอบเมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้นว่า รถทั้งหมดเป็นของใคร ใครจ้างให้ขนส่ง และไปส่งที่ไหน-ให้ใคร

    - จากเลขตัวถังรถ เลขเครื่องยนต์ และจากรุ่น ระบุได้ว่าเป็นรถนำเข้า หรือรถชิ้นส่วนประกอบ ถ้ากรมศุลกากรมีคำตอบให้ไม่ได้ นั่นหมายความว่า "รถเหล่านี้-มีงาน" แบบนี้ "นางเบญจา หลุยเจริญ" ผู้เจริญก้าวหน้าถึงตำแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร ด้วยบารมีระบอบทักษิณ
    น่าจะไม่เจริญ!

    ส่วนตรวจสอบจากป้ายแดงนั้น คงยาก ลักษณะนี้ "ป้ายผี" ซะมากกว่า และที่มาของรถแต่ละคัน ก็ไม่น่าจะต่างจากที่มาของป้ายซักเท่าไหร่ ดังนั้น กองพิสูจน์หลักฐานน่าจะให้ความกระจ่างได้

    - ความกระจ่างขั้นแรก จะรู้ว่ารถหรูเหล่านั้น เป็นรถนำเข้าสมบูรณ์ทั้งคัน และนำเข้าผ่านระบบศุลกากรเรียบร้อยหรือไม่

    ขั้นที่สอง จะรู้ว่าเป็นรถนำเข้าหลีกเลี่ยงภาษี หรือแยกเป็นชิ้นส่วนเข้ามาเพื่อเสียภาษีถูกๆ แล้วนำมาประกอบภายหลัง

    จริงๆ แล้วในวงการรู้กันดี เพราะรถประเภทนี้ ทั้งคนนำเข้า-คนค้า-คนซื้อ มีอยู่กลุ่มเดียว แต่ไม่ใช่ชาวนาแน่นอน แค่เห็นรุ่น เห็นยี่ห้อ ก็บอกได้แล้วว่า เป็นรถจากค่ายไหน-เสี่ยไหน-เฮียไหน-ท่านไหน นำเข้า นำเข้ามาเมื่อไหร่ ปีไหน กี่คัน สภาพไหน

    และใคร...เป็นลูกค้า?

    ที่พูดทั้งหมดนี้ ไม่สงสัยความถูกต้องทั้งที่มาและที่ไป เพราะชัดอยู่แล้ว ประเด็นใหญ่อยู่ที่อยากชื่นชมบารมีมหาเศรษฐีศรีสะเกษเท่านั้นว่า ท่านใดบ้างหนา สั่งซื้อรถหรูคันละ ๒๐-๓๐ ล้าน มาวิ่งเฉิดฉายที่ปลายแดน ทีละร่วมสิบคัน?

    เป็นชาวนาจำนำข้าวรวยแล้วมาซื้อ หรือเป็นหัวคะแนน-เสี่ยโรงสี รวยเงินโครงการจำนำข้าวมาซื้อ

    หรืออิทธิพล-บารมีใคร ขนรถเถื่อนลอยชาย เป้าหมาย...หายเข้าฝั่งเขมร?

    หรืออย่างข่าว "มติชน"

    "เป็นของนักการเมืองชื่อดังภาคกลางคนหนึ่ง"?.

 

• เปลว สีเงิน

31 May 2556 - 00:00

 

 

http://www.thaipost....ws/310513/74343

โธ่เอ๊ยยยย...นายเจริญ จรรย์โกมล เป็น ส.ส.มาก็นาน ครั้นเป็นรองประธานสภาฯ ขึ้นไปนั่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม นึกว่าจะสามารถแยกแยะสถานะประมุขสถาบันนิติบัญญัติ "เพื่อชาติ" กับสถานะทาสระบอบทักษิณ "เพื่อกินเมือง" ออกจากกันได้ แต่ตอนเย็นวาน (๒๙ พ.ค.๕๖) "นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม" ส.ส.พิษณุโลก เขานำข้อมูลเรื่องทุจริตข้าวมาบอก แทนที่จะยกประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้งในการทำหน้าที่ กลับเอียงช่วย "องครักษ์พิทักษ์โกง" ปกป้อง-ปกปิด ตัวกังฉินกินข้าวจนน่าเกลียด

    ดูแล้วอนาถ ผมก็พยายามทำใจ ใครอยากเป็นนายกฯ อยากเป็นรัฐบาล ก็เป็นกันไป อยากกี่ปี ก็เป็นซะให้มันหายอยาก แต่ดูแล้ว ไม่มีใครทำอะไร ด้วยนิสัย-*** ทั้งอันธพาล ทั้ง "ไม่สุจริต" เป็นที่ตั้ง ในการทำหน้าที่นั่นแหละ

    จะทำให้ "อยากค้าง" ก่อนสิ้นปี!?

    ค้างเพราะตัวเอง ไม่มีใครเขาไปทำให้ค้างหรอก ความจริงด้วยหน้าที่ของผม ต้องนั่งหน้าจอเฝ้าดูอภิปรายงบประมาณ ๒.๕ ล้านล้าน ที่ช่อง ๑๑ ถ่ายทอดสด แต่ยอมรับ "ใจไม่ด้านพอ" ที่จะทนฟัง-ทนเห็น "ทรามทางจิตสำนึก" ของเหล่าองครักษ์พิทักษ์โจรได้ต่อเนื่อง

    เปิดพัวะมาตอนเย็น ก็เจอหมอวรงค์แฉเรื่องโกงข้าว แล้วถูกหมาหมู่รุมงับขากางเกงอีนุงตุงนัง นายเจริญทำหน้าที่ประธานโคลงเคลงไปมาพอดี ผมเลยมีอาการเหมือนใบเตย อาร์สยาม คือ "แน่นอก"!

    แต่ก็เอาเถอะ เรื่องข้าว เรื่องไอ้เปี๋ยง เรื่องเลขาฯ รัฐมนตรี ร้อนจนต้อง "พักการประชุม" ช่วงนั้นจะไปตกลงอะไรกัน "หลังไมค์" ก็แล้วแต่
    แต่สุดท้ายแล้ว ประธานเจริญก็ให้หมอวรงค์กระท่อนกระแท่น "มหากาพย์แห่งความฉิบหายเรื่องโกงข้าว" ต่อได้จนจบ ก็ต้องขออนุโมทนาท่านประธานเจริญว่า

    ยังมีภาวะ "จิตดี สีดี" เหมือนนักจัดรายการข่าวหญิง T-NEWS ที่คู่กับ "บุญระดม จิตรดอน" นั่นเลยเชียว!

    เอาละ...พูดเรื่องอภิปรายในสภาฯ ทีไร "จิตผมไม่ค่อยดี" ทีนั้น ฉะนั้น คุยกันเรื่องอื่นดีกว่า เรื่องแน่นอก-แน่นใจอย่างนี้ เอาไว้ทีหลัง ไม่ต้องรีบ เพราะเท่าที่เห็น อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะมีมาถึงขั้น "ระเบิดอก-ระเบิดใจ" กันไปข้างหนึ่งเลย

    ใครอยู่ได้..ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ ก็เตรียมพาสปอร์ต เตรียมแพ็กกระเป๋า........

    ไปอยู่กับคนดูไบโน่น!

    พูดถึงดูใบ ก็อยากให้ดูดอกก่อน คือก่อนเข้าประชุมสภาฯ นางสาวยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า เกษตรกรมีรายได้มากขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าว เมื่อเกษตรกรมีรายได้ก็จะนำเงินทั้งหมดมากระตุ้นเศรษฐกิจ

    "จึงอยากให้มองตรงนั้นด้วยว่า วงจรเศรษฐกิจหมุนไปอย่างไร การใช้งบประมาณในการสร้างรายได้ให้เกษตรกรก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งจะเห็นว่าหลายโครงการรัฐบาลมีการดูแลพืชผลอยู่"

    ก็คงจริงแฮะ เพราะในรอบปี รัฐบาลใช้งบไปกับโครงการจำนำสินค้าเกษตรแล้วตั้งร่วม ๗ แสนล้าน มากมายขนาดนี้ เกษตรกรไทยไม่รวยล้นถึงขั้นจับหมาทุกตัวในบ้านไปเลี่ยมฟันทอง แล้วไปจะรวยกันตอนไหน ไม่เชื่อก็ฟังที่คุณเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.ประชาธิปัตย์ เขาเอามาแฉในสภาฯ เมื่อวานก็ได้

    ?".....การส่งออกที่ถดถอย เป็นเพราะปัญหาจากนโยบายจำนำสินค้าเกษตรของรัฐบาล ?โดยขณะนี้เหลือข้าวในสต็อก ๑๕-๑๖ ล้านตัน หากทำต่อไปประเทศไทยจะพังแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้งบไปกับการจำนำสินค้าเกษตรแล้ว?ถึง ๖.๗๑ แสนล้านบาท ซึ่งอาจผิดเงื่อนไขที่ไทยในฐานะสมาชิก?องค์การการค้าโลกเคยไปเซ็นลงนามไว้

    อีกทั้งที่ผ่านมาสภาพัฒน์?ได้ให้ข้อมูลว่า โครงการรับจำนำข้าวจะขาดทุน ๔-๕ แสนล้านบาทต่อปี ?และยังมีแนวโน้มจะทำต่อไป ดังนั้นจึงไม่สามารถเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยการเอาเงินภาษีประชาชนไปจ่าย

    นอกจากนี้ ?ที่รัฐบาลระบุว่ายังไม่สามารถสรุปความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวได้ เพราะยังไม่มีการปิดบัญชีนั้น ขณะนี้ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการปิดบัญชีฯ ก็ถูกย้ายไปแล้ว ซึ่งมีการปิดบัญชีว่า ขาดทุนไปแล้ว ๒.๕ แสนล้านบาท แต่ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา

    ทั้งที่ประธานคณะกรรมการฯ คนนี้ถือเป็นคนทำงานดี มีความรู้ความสามารถ สังคมให้การยอมรับ แต่โครงการจำนำข้าวมีคนได้ประโยชน์ ?เพราะจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีโรงสีกว่า ๖๐๐ โรงมีรายได้เพิ่มขึ้นหลายร้อยล้านบาท

    "ขณะนี้สินค้าขายดีที่สุด คือ รถเฟอร์รารี และปอร์เช ซึ่งลูกหลานของโรงสีเป็นผู้ซื้อ ทั้งที่มาจากเงินภาษีประชาชน ?ทั้งนี้ คงต้องหวังพึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้เร่งตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ประเทศจะเสียหายมากกว่านี้"

    คำอภิปรายของนายเกียรติ มีสอดเข้ากับสอดไม่เข้ากับคำสัมภาษณ์ยิ่งลักษณ์อยู่ ๒-๓ ประเด็น ที่สอดเข้าคือ จากที่รัฐบาลใช้เงินร่วม ๗ แสนล้านกับโครงการรับจำนำพืชผลเกษตร เงินจำนวนนี้ทำให้คน "มีรายได้เพิ่มขึ้น" จริง

    แต่ที่สอดไม่เข้า คือ "คนต่างจังหวัด" ที่มีรายได้มากขึ้นของยิ่งลักษณ์ หมายถึงเกษตรกรที่เป็น ชาวไร่-ชาวนา แต่ "คนต่างจังหวัด" ที่มีรายได้มากขึ้นของ ส.ส.เกียรติ หมายถึง "พวกเจ้าของโรงสี" ที่ร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกกับรัฐบาล

    ความร่ำรวยขึ้นของเกษตรกรตามนัยยิ่งลักษณ์ เป็น "วาทกรรมท่อง" เพื่อใช้ให้สัมภาษณ์รายวัน เป็นนามธรรม ประเภทน้ำลายฟูมปาก มีแต่ฟอง ไม่มีตัวตนให้จับต้อง ยืนยันถึงว่า "เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น" จริง

    ส่วนคำอภิปรายของ ส.ส.เกียรติที่ว่า "ขณะนี้สินค้าขายดีที่สุด คือรถเฟอร์รารี และปอร์เช ซึ่งลูกหลานของโรงสีเป็นผู้ซื้อ...." นั้น

    เมื่อฟังก็ให้ค่าเพียงลีลาเปรียบว่า ร่วม ๗ แสนล้านนั้น ทุ่มลงไปก็ไหลเข้ากระเป๋ากลุ่มทุน คือพวกพ่อค้าโรงสี พ่อค้าข้าวเครือข่ายรัฐบาล มีไม่กี่บาท-กี่สตางค์หรอกที่ไหลถึงเกษตรกร อะไรทำนองนั้น

    แต่พอมาดูข่าวตอนเที่ยง มีรถเทรลเลอร์บรรทุกรถยนต์เก๋งชั้นดีหลายคัน จากกรุงเทพฯไปตามถนนมิตรภาพ นัยว่าจุดหมายปลายทาง ไม่โคราชก็จังหวัดใด-จังหวัดหนึ่งทางอีสาน ท่านคงเคยเห็นกันใช่ไหมครับ รถเทรลเลอร์คันใหญ่ๆ ยาวๆ ที่บรรทุกรถเก๋งใหม่เอี่ยมทีละหลายๆ คันไปส่งให้ลูกค้าผ่านตามโชว์รูมต่างๆ นั่นน่ะ

    ถึง "กลางดง" ถนนเป็นทางเนินเขาลาดชัน แค่รถบรรทุกหนักปกติก็ตะกุยเอื่อยๆ กว่าจะผ่านช่วงนี้ไปได้ แต่นี่เป็นรถเทรลเลอร์ใหญ่-ยาว แถมบรรทุกรถเก๋งเป็นสิบคัน พอตะกายขึ้นเนินก็เกิดไฟไหม้ คนขับเบรกรถจนตกร่องกลางถนน ไฟไหม้ลุกลามเผาไปหลายคัน

    มีรถยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ยี่ห้อเบนต์ลีย์ ยี่ห้อลัมโบร์กีนี และรถยี่ห้อเฟอร์รารี เฉพาะรถมหาเศรษฐี ๔ คันนี้ ราคาก็นับร้อยล้านแล้ว!

    เหมือนฟ้า-ดินรับรองคำอภิปราย ส.ส.เกียรติ และประจานคำสัมภาษณ์ยิ่งลักษณ์ เพราะอะไรน่ะหรือ....ก็ท่านคิดดูซี.....

    ยุค "ทักษิณริ-ยิ่งลักษณ์ยำ" ไม่ว่าทางอีสานหรือทางไหนก็เถอะ เงินรับจำนำข้าวและพืชผลจำนวน ๖.๗๑ แสนล้าน มันจะถึงมือเกษตรกรเต็มเม็ด-เต็มหน่วย จนชาวนารวยจุกอก ถึงขั้นนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซื้อ "เฟอร์รารี-เบนต์ลีย์-ลัมโบร์กีนี-บีเอ็ม" ขี่แทนควาย

    ขนาดนั้นเชียวรึ...แม่คุณทูนหัว?!

    ผมเทียวขึ้น-เทียวล่องทางมิตรภาพบ่อย ที่เห็นประจำคือรถเทรลเลอร์บรรทุกรถเก๋งแกะกล่องคันละเป็นล้านไปตามมิตรภาพ ไม่เคยเห็นเทรลเลอร์บรรทุกวัว-ควาย ในความหมายพาหนะตอบสนองการมีรายได้มากขึ้น จนเกษตรกรสั่งซื้อวัว-ควายกันครึกครื้นเลย    

    แต่ในข้อเท็จจริง ที่มีแต่รถขนรถคันละเป็นล้านๆ สู่ชนบท สิ่งสะท้อนถึงก็เป็นอย่างที่ ส.ส.เกียรติอภิปราย คนรวยจากโครงการรัฐบาลไม่ใช่ชาวนา หากแต่เป็นพวก

    "พ่อค้าโรงสี" ระบอบทักษิณ!

    พวกหัวคะแนน พวกนำแดง พวกโรงสีเครือข่ายระบอบทักษิณ มันรวยล้นจากเงิน ๖.๗๑ แสนล้าน จนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร สั่งซื้อรถคันละ ๒๐-๓๐ ล้าน อย่างเบนต์ลีย์ เฟอร์รารี ลัมโบร์กีนี ไว้ขี่ตกเหวกันคนละคัน-สองคัน

    และรถเก๋งคันละ ๒๐-๓๐ ล้านนี่น่ะหรือ สะท้อนเศรษฐกิจดี จากเกษตรกรมีรายได้ แล้วนำเงินมาจับจ่ายซื้อหาตามที่ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์?

    "ชาวนาทำนาบนผืนนา" ไม่มีทางรวยเหมือน "ชาวไพร่ทำนาบนหลังประเทศ" เพราะชาวนา เวลาไถต้องให้วัว-ควายนำหน้า ส่วนชาวไพร่ เวลาไถ เข้าใช้ระบอบทักษิณนำหน้า

    แปลงนาคือ...."รัฐสภาและทำเนียบฯ"!

 

http://www.thaipost....ws/300513/74298