เมื่อ สองพันห้าร้อยกว่าปี มาแล้ว มีกระทาชายนายหนึ่ง บ่นพึม-บ่นพำ ว่า
"ที่นี่ วุ่นวาย หนอ-ที่นี่ เดือดร้อน หนอ" เดินไป-บ่นไป จนผ่าน สถานที่สงบ แห่งหนึ่ง
ก็มีเสียงร้องตอบรับออกมาว่า "ที่นี่ไม่วุ่นวาย-ที่นี่ไม่เดือดร้อน" เสียงนั้นเป็นเสียงของ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
และเมื่อ กระทาชายนายนั้น ได้เข้าไปเฝ้า องค์พระผู้มีภาคเจ้า...ความวุ่นวาย-ความเดือดร้อน ก็มลายหายไปสิ้น
กาลเวลาได้ล่วงเลยมา สองพันห้าร้อยกว่าปี แล้ว องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้ นิพพาน ไปนานหนักหนาแล้ว
แต่คำสั่งสอน ของ พระองค์ ก็ยังคงอยู่...ใครที่ยัง "เดือดร้อน หนอ-วุ่นวาย หนอ" ก็ควรที่จะนำ
คำสั่งสอน ของ พระองค์ ลอง ไปใช้-ไปปฏิบัติ ดู ความเดือดร้อนวุ่นวายของแต่ละคนก็จะระงับลงได้
พูดแล้ว-คุยแล้ว ก็พาลให้นึกถึง พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ยิ่งนัก หากจำได้ไม่ผิดในวันที่ หลวงพ่อท่าน ละสังขาร
หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ลงข่าวมรณภาพ ของ ท่าน ไว้ ประมาณ ว่า ก่อนท่าน มรณภาพ นั้น
ท่านได้พูดสั้นสั้นกับนายแพทย์ผู้ดูอาการท่านอยู่ว่า "ปล่อยนะ"
เพียงเท่านั้น สังขาร ท่านก็แตกดับไปตาม ธรรมดาโลก
แต่คำพูดเพียงสองคำนั้น ถ้าคิดดูให้ดีแล้ว ก็เป็นสมบัติอันมหาศาลที่ท่านได้ทิ้งไว้แก่
บรรดาศิษยานุศิษย์ของท่าน และ แก่พุทธศาสนิกชน ทั่วไป...
คำพูดเพียงสองคำนี้ฟังดูง่ายเหลือเกิน เป็นสมบัติทางปัญญา ซึ่งอาจเก็บไว้คุ้มกันตัวได้ตลอดชีวิตของแต่ละคน
เป็น ประกาย ของ แสงสว่าง แห่ง ปัญญา อัน เจิดจรัส ท่ามกลาง ความมืดมน อนธกาล
ตะนิ่นตาญี เขียนมาเสียเยอะแยะ แต่อย่าเพิ่งนึกอะไรให้มากไป อย่าไปนึกว่า "ปล่อยนะ" เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์
ท่องบ่นซ้ำซ้ำกันครบ ๑๐๘ คาบ แล้ว จะสำเร็จเป็น อรหันต์ มีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศ หรือ อยู่ยงคงกระพัน
มีเส่นห์ เมตตา มหานิยม สาวรัก-สาวหลง ผู้ใหญ่สนับสนุน หรือ ระลึกชาติ มองเห็นอนาคต มองเห็นว่าหวยออกเลขอะไร
ร่ำรวย เป็น เศรษฐี-มหาเศรษฐี ขึ้นมาได้โดยไม่ต้อง ออกเรี่ยว-ออกแรง ทำงาน ไม่ใช่หรอกครับ
เพราะคำว่า "ปล่อยนะ" ของ ท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นสิ่งตรงกันข้ามกลับที่กล่าวมาแล้วทั้งสิ้น
คำว่า "ปล่อยนะ" สองคำนั้น แปลว่า คนเราทุกคนนั้นที่แท้แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองสักอย่างเดียว
ไม่มีอิทธิฤทธิ์-ไม่มีอิทธิเดช ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีทรัพย์ ไม่มีรัก ไม่มีเกลียด ไม่มีโง่ ไม่มีฉลาด
ที่นึกว่าตัวเป็นคนคนหนึ่ง มีโน่น-มีนี่ เป็นของตน หรือ ยังขาดอะไรอยู่แล้วอยากได้สิ่งนั้น
นั่นเป็นเพราะการยึดแต่อย่างเดียวเท่านั้น ชีวิตทั้งชีวิตก็กลายเป็นการยึดไปเสียหมด
ไม่ยอม "ปล่อยนะ" อย่างที่ หลวงปู่ฝั้น ท่านว่าไว้ และเมื่อไม่รู้จักที่จะ "ปล่อยนะ" ก็เป็นทุกข์
ทุกข์ที่จะยึดเอา ไอ้นู่น-ไอ้นี่ มาเป็นของตน ชีวิตทั้งอันก็เป็นชีวิตของกู คนอื่นไม่เกี่ยว
บ้านนี้-เมืองนี้ ก็ ของ กู คนอื่นไม่เกี่ยว แผ่นดินนี้เป็นของกู โลกนี้เป็นของกู
จนในที่สุดแล้ว พระอาทิตย์-พระจันทร์-จักรวาลพิภพ ก็เป็นของกูหมด
มีไว้เพื่อประโยชน์ของกู และความสุขของกูเท่านั้น คนอื่นห้ามยุ่ง
จะรัก-จะหลง อะไรก็ไม่เท่า รักตัวกู-หลงตัวกู จริงอยู่ กู รักคนอื่นด้วย
แต่ มีเงื่อนไข คนไหนที่ กู จะรักนั้น คนนั้นต้องรักตัวกูก่อน ถ้าไม่เป็นไปตามเงื่อนไข กูก็ไม่รัก
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็พังครืนลงมา เพราะว่าไม่มีใครที่จะบังคับโลกนี้ให้หมุนไปตามใจชอบของตัวเองได้
ทุกอย่างมันอาจซื้อได้ แต่ก็ไม่อาจที่จะบังคับมันได้หรอกกระมังครับ...
ชีวิต ของ คนเราก็เหมือนกับ การเดินทาง นั่นแหละครับ เดินทางไปไกลขึ้นไกลมากขึ้น
เจออะไร ก็หยิบ-ก็ฉวย ติดขึ้นมาพะรุงพะรัง ยิ่งหยิบ-ยิ่งฉวย มากขึ้นเท่าไหร่ ปัญหาก็ยิ่งมีมากขึ้น
หนักแรงที่ จะแบก-จะหาม จะเดินต่อก็เดินไม่ไหว ยิ่งหยิบ-ยิ่งฉวย ก็ ยิ่งยึดไว้
สุดท้ายแล้วก็ไปไม่ได้ถูกสิ่งที่ยึดไว้ทับตายไปในที่สุด...
ชีวิตคนเราก็เท่านี้
เขียนมาตั้งเยอะไม่ได้ แปลว่า ไม่ให้ยึด-ไม่ให้ถือ อะไรอะไรหรอกนะครับ
หากแต่หมายความถึงให้รู้จักที่จะปล่อยทิ้งไปเสียบ้าง ให้ถูกกาละ-ให้ถูกสมัย
ปล่อยในสิ่งที่ควรปล่อยยึดไว้แต่สิ่งที่จำเป็น แล้วเดินเชิดหน้าไปบนวิถีแห่งผู้ไม่ประมาท
นั่นกระมังครับเป็นเหตุให้ ท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ได้บอกไว้กับหมอ ก่อนที่ท่านจะละสังขาร
ในขณะสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน "ปล่อยนะ"
คุณทักษิณ ชินวัตร ครับ หากคุณเผลอไผลมาอ่าน ข้อเขียนชิ้นนี้เข้า หรือ มีใครสักคนเมตตานำไปให้อ่าน
ถึงเวลาแล้วครับ คุณทักษิณฯ ครับ ปล่อย-เถอะ-นะ-ครับ
ตะนิ่นตาญี
วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
เวลา ๑๒.๑๓ นาฬิกา
หมายเหตุ แก้ไขคำผิด และ เพิ่มสีให้อ่านได้ง่ายขึ้น ขอบพระคุณ มากครับ
- Moon, THE THIRD WAY, ปุถุชน and 24 others like this