Jump to content


isa

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 13 ตุลาคม 2551
ออฟไลน์ เข้าใช้งานครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2557 14:07
-----

#436302 เอแบคโพล:เด็กไทยมองเมืองไทยเป็น "สังคมที่คนดีไม่มีที่ยืน"

โดย isa on 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 06:58

ผมเคยมีรุ่นน้องที่ทำงานแบบนี้คนนึงนะ พฤติกรรมคล้ายๆ Hentai นี่เลย
จริงๆแล้วไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร นิสัยก็ใช้ได้ แต่ชอบทำตัวแตกต่าง เหมือนเรียกร้องความสนใจ
เลยไปยึดความคิดเพี้ยนๆพวกนี้มาเป็นสรณะ สมัยทำงานด้วยกันผมก็ด่าแรงๆเอาบ่อยๆจนไปไม่เป็น
จะได้กระตุ้นความคิดเสียบ้าง แต่พอมันย้ายที่ทำงาน ตอนหลังผมก็เลยลบเฟซทิ้ง เพราะขี้เกียจอ่านความคิด
พวกเพื่อนๆกลุ่มเดียวกับมัน ทำให้เราเสียอารมณ์เปล่าๆ

อยากจะบอกว่าอยากจะเป็นคนดีน่ะไม่ยากหรอก แค่เลิกทำชั่วเท่านั้น แค่นี้ก็เป็นคนดีแล้ว
เริ่มจากเลิกโกหก ปั้นน้ำเป็นตัวตามเว็บบอร์ด ศีล 5 น่ะแค่ถือให้ครบ แค่นี้ก็พอ ทำได้แค่นี้
ตัวเองก็ไม่เดือดร้อน สังคมก็ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะตัวเอง แค่นี้ก็เป็นบุญกับตัวเองแล้ว

ส่วนความดีอื่นๆน่ะถ้าเลิกทำชั่วจนเป็นนิสัยแล้ว เดี๋ยวมันก็อยากจะทำดีเองแหละ จะทำทานหรืออะไรก็แล้วแต่
ส่วนเรื่องจะฝึกสมาธิน่ะ ถ้ามีศีลครบ จิตใจมันก็สงบเป็นปัทสัทธิ เดี๋ยวสมาธิมันก็ตามมาเองเป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องฝืน
ศีลข้อ 1 ถ้าถือเป็นธรรมชาติ ความเมตตามันก็ตามมาเอง และเมื่อมีเมตตา มันก็มีความกรุณากับมุทิตาตามมาเป็นสาย
เดี๋ยวก็อยากทำทาน อยากช่วยคนโน้นคนนี้ถ้าทำได้ไปตามธรรมชาติ

เพราะงั้น สรุปง่ายๆ อยากเป็นคนดีไม่ต้องมีพิธีรีตรองเยอะ แค่เลิกทำชั่วก่อน แค่นี้ทำได้มั้ยล่ะ? :lol:


#435798 เอแบคโพล:เด็กไทยมองเมืองไทยเป็น "สังคมที่คนดีไม่มีที่ยืน"

โดย isa on 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 17:09

น่าขำนะครับ ที่คนยุคนี้แค่ความดีกับความชั่วก็แยกกันไม่ออก
และน่าขำยิ่งกว่าที่คนระดับคณะบดีคณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่า
"ธรรมศาสตร์" ที่มีธรรมจักรเป็นตราประจำมหาวิทยาลัย ออกมาปฏิเสธศาสนาพุทธ
ถึงขั้นที่บอกว่า "ถ้าคิดว่าทุกอย่างมีอยู่ในศาสนาพุทธ ก็ไม่ต้องมาเรียน"

เพราะจริงๆแล้วศาสนาพุทธนี่แหละให้คำตอบสุดท้ายของมนุษย์ได้
ถามคำถามง่ายๆว่า "คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?" คำตอบง่ายๆก็คือ "เพื่อหนีความทุกข์และหาความสุข" แค่นั้นเอง
เพียงแต่สังคมยิ่งซับซ้อน ความต้องการของคนก็ยิ่งซับซ้อน จนอำพรางความจริงง่ายๆนี้เอาไว้
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าลัทธิหรือเจ้าทฤษฎีไหนๆก็พยายามจะสนองคำตอบนี้ด้วยวิธีการต่างๆนานา
ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรทรัพยากรในรูปแบบต่างๆ ทัี้งทุนนิยม ทั้งคอมมิวนิสต์ ทั้งบริโภคนิยม
แต่จนแล้วจนรอดก็ตอบโจทย์ไม่ได้ ทั้งในโลกทุนนิยม บริโภคนิยม สุขนิยม แม้แต่ในคอมมิวนิสต์
ก็ยังมีความทุกข์ คนรวยก็ทุกข์แบบคนรวย คนจนก็ทุกข์แบบคนจน

แย่งเงินจากคนรวยไปยัดใส่มือคนจน มันก็หาความสุขใส่ตัวแบบชั่วแล่น แล้วก็เพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง
ไม่ว่าจะเอาไปดาวน์รถ ซื้อโน่นซื้อหนี้ กู้หนี้ยืมสินให้ยิ่งเป็นหนี้เพิ่ม

มีแต่คนที่รู้เท่าทันตัวเองเท่านั้นที่หาความสุขแท้จริงใส่ตัวได้ โดยพึ่งพาปัจจัยภายนอกน้อยที่สุด
โลดเต้นไปตามโลกภายนอกให้น้อยที่สุด และศาสนาพุทธก็มีคำตอบให้ เพราะศาสนาพุทธแท้จริงเป็นศาสนาสำหรับให้คนฝึกฝนตัวเอง
ไม่ใช่ศาสนาแห่งศรัทธาอย่างที่หลายๆคนเข้าใจผิด

หรือคำถามว่า "ความดีคืออะไร" ก็ยังสับสนระหว่าง "ความดีปลอมๆ" กับ "ความดีที่แท้"
ความดีที่แท้คืออะไร ความดีที่แท้ก็คือการกระทำที่ทำไปเพื่อพัฒนายกระดับจิตใจตัวเองให้สะอาด บริสุทธิ์ยิ่งๆขึ้น
ต่อให้เริ่มต้นทำด้วยความฝืนใจก็ตาม แต่เมื่อทำจนกลายเป็นธรรมชาติไม่ต้องฝืนใจอีกต่อไป
ก็เท่ากับว่าคุณภาพจิตใจของตัวเองยกระดับไปอีกขั้น คนที่ทำความดีแบบนี้ จะทำความดีทั้งต่อหน้าและ
ลับหลังคนอื่น และหลีกเลี่ยงที่จะทำความชั่ว สาเหตุหลักก็คือ รู้สึกสลดที่จะเห็นคุณภาพของตัวเอง
ตกต่ำลงไป เหมือนคนที่อาบน้ำสะอาดแล้ว ก็ย่อมรังเกียจที่จะเดินลงไปลุยขี้เลนอีก

ความดีปลอมๆคืออะไร ก็คือความดีที่ทำเพื่อหวังผลตอบแทนจากคนอื่นเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าในแง่ของการสรรเสริญเยินยอ
สินจ้างรางวัล ยศฐาบรรดาศักดิ์ หรือการยอมรับจากสังคม คนที่ทำความดีชนิดนี้ จะทำด้วยความฝืนใจ และทำเฉพาะต่อหน้า
ลับหลังคนอื่นก็ไม่ยอมทำ หรืออาจกลายเป็นพฤติกรรมตรงกันข้ามเอาเสียด้วย เพราะไม่เข้าใจว่าจริงๆแล้วความดีคืออะไร
ความสุขแท้จริงคืออะไร เพ่งเล็งเอาแค่ความปิติที่ได้รับจากการตอบสนองจากสังคมเป็นที่ตั้ง

แต่พุทธก็ไม่ได้ปฏิเสธความดีชนิดนี้โดยสิ้นเชิง ก็มีคำสอนที่เปรียบความดีเป็นชนิดเปลือก กระพี้ และแก่นไปตามลำดับ
ความดีที่หวังการสรรเสริญก็ได้แค่เปลือก ความดีที่พัฒนาจิตใจก็ได้กระพี้ ส่วนความดีเพื่อการหลุดพื้นคือแก่น
แต่ปัญหาก็คือคนที่เรียนมาสูงๆ แต่ดันแยกแยะระดับความสำคัญไม่เป็น รู้จักแค่ดำกับขาว ไม่ดี ก็ชั่วไปเลย
สุดท้ายกลายเป็นด่าคนดีว่าจอมปลอม แต่ไปสรรเสริญคนชั่วว่าตรงไปตรงมา ไม่หลอกตัวเอง -_-

หลักฝึกตนสำคัญของพุทธคือสติปัฐฐานสี่ รู้กาย รู้ใจ รู้ความคิดของตัวเอง รู้ว่าคุณภาพจิตใจของตนในขณะนั้นเป็นยังไง
ดี หรือเลว ร้อน หรือเย็น เฉียบแหลม หรือมัวเมา ขอแค่รู้ใจตัวเอง ก็ไม่ต้องมาถามใครแล้วล่ะครับว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้น
ดีหรือชั่วกันแน่ ตัวคุณเองจะบอกตัวเองได้ทันที

ศีลนั้นเป็นแค่ข้อปฏิบัติภายนอก ศีลในระดับคนทั่่วไปก็เหมือนกฎหมาย แม้จะเขียนละเอียดแค่ไหน คนหัวหมอก็เลี่ยงบาลีเอาจนรอดตัวจนได้
แต่ตัวจิตนั้นแหละเป็นศีลแท้จริง เพราะคุณภาพของจิตไม่โกหกตัวเอง ถ้าเทียบง่ายๆเหมือนกับคนที่ไม่ได้อาบน้ำหลายวัน ต่อให้โปะแป้ง โปะน้ำหอมแค่ไหน
แต่ความคันคะเยอ เหนียวเนื้อเหนียวตัวนั่นแหละจะบอกเองว่า "เอ็งน่ะ ***"

คนดีหรือคนเลวก็เหมือนกัน ความสะอาดสดชื่น โปร่งเบา กว้างขวางในใจ หรือความมึนงง มัวเมา เผาร้อน คันคะเยอ มันก็รับรู้ได้ไม่ได้ต่างกับร่างกายหรอก
เพียงแต่เจ้าตัวไม่เคยสนใจที่จะรับรู้เท่านั้นเองแต่ดูจากชื่อล็อกอินของพวกปฏิเสธความดีแต่ละคนก็รู้แล้วล่ะว่าจริงๆแล้วจิตใต้สำนึกมันสะท้อนออกมาเตือนแล้ว
แต่ปฏิเสธที่จะรับรู้ไปได้นานแค่ไหนเท่านั้นแหละ <_<


#435318 เอแบคโพล:เด็กไทยมองเมืองไทยเป็น "สังคมที่คนดีไม่มีที่ยืน"

โดย isa on 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 10:14

ถ้าใครศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าเรียกคนลัทธิอื่นว่าพวกเดียร์ถีย์
จริงๆแล้วคำว่าเดียร์ถีย์ไม่ใช้คำหยาบคาย มีความหมายแค่ว่า "คนที่ข้ามผิดท่า"
แต่คนไปสับสนกับคำว่า เดียรัจฉาน ก็เลยคิดว่ามันเป็นคำหยาบ

จากในพระสูตร ก็ปรากฎอยู่หลายครั้งว่าพระพุทธเจ้าทรงสนทนาธรรมกับนักบวชต่างลัทธิ
บางครั้งพวกเขาเป็นฝ่ายเข้ามาถามหรือชวนสนทนาเอง แต่บางครั้งท่านเห็นพวกเขาคุยกันอยู่
ก็แวะเข้าไปคุยด้วย เพื่อจะได้เป็นเป็นวิสัยต่อไปในภายภาคหน้า และเวลาพูดถึงศาสดาลัทธิอื่น
ท่านก็เพียงติติงเท่านั้น หรือบางครั้งก็ชี้แนะค่อนข้างแรงๆเพื่อช่วยดึงเขาจากความเห็นผิด
น้อยครั้งมากที่ท่านจะประณามใครแรงๆ


แต่มีเพียงมักขลิโคศาลศาสดาลัทธิจารวากนี่แหละ ที่ท่านถึงกับประณามอย่างรุนแรงเลยทีเดียว
ลัทธินี้บอกว่ากรรมไม่มีจริง ความดี ความชั่วไม่มีจริง บุญบาป ไม่มีจริง นรกสวรรค์ไม่มีจริง ชีวิตหลังความตายไม่มีจริง
พระพุทธองค์ท่านถึงกับกล่าวว่ามัขลิโคศาลเป็นโมฆบุรุษ เป็นเหมือนปากขุมนรกที่ล่อลวงคนให้
เข้าไป เป็นบุรุษที่เกิดมาสูญเปล่า มีแต่จะสร้างความหายนะให้กับคนที่เข้าไปหา ฯลฯ ลัทธิอื่นนั้น
ส่วนใหญ่ก็ทำให้คนดีขึ้น เพียงแต่ไปไม่ถึงขั้นนิพพาน หรือทรมานตัวเองให้ต้องเหนื่อยยากลำบาก
เกินควร แต่ไม่ถึงขั้นสร้างหายนะให้กับตัวเองและสังคม

และนี่แหละครับเป็นลัทธิที่คนปัจจุบันทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อ้างตัวว่าเป็น "พวกหัวก้าวหน้า"
นิยมนับถือกัน


#435153 “ราชบัณฑิต” สำรวจแก้ 176 ศัพท์ลูกครึ่งให้ตรงเสียง

โดย isa on 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 00:30

แถวภาคใต้ก็เรียกปาท่องโก๋ว่า "จาโกย" นะครับ น่าจะมาจากคำว่า อิ๋วจาก้วย น่ะแหละ
เกร็ดของอิ๋วจาก้วย ก็มาจากพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์ซ้อง ที่ขุนพลงักฮุยถูกขุนนางกังฉินฉินข้วย
ใส่ร้ายจนถูกประหารชีวิต ชาวบ้านที่เจ็บแค้นไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยทำขนมสมมุติว่าเป็นฉินข้วยกับเมีย
ทอดน้ำมันกินให้หายแค้น คำว่าอิ๋ว แปลว่าน้ำมัน ส่วนก้วย ก็คือ ฉินข้วยน่ะแหละ แต่จามาจากไหนก็ลืมไปแระ

ภาษาใต้ก็มีคำอะไรแปลกๆที่มาจากภาษาต่างประเทศเหมือนกัน เช่นข้าวโพด ก็เรียกว่า "คง" น่าจะมาจากคำว่า "คอร์น"
ในภาษาอังกฤษมั้ง


#434388 “ราชบัณฑิต” สำรวจแก้ 176 ศัพท์ลูกครึ่งให้ตรงเสียง

โดย isa on 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 - 11:32

ผมว่าราชบัณฑิตน่ะแหละครับต้องพิจารณา
ภาษาไทยเรามีข้อได้เปรียบเรื่องการถอดเสียงเหนือกว่าภาษาอื่นๆส่วนใหญ่ในโลกก็จริง แต่ใช่ว่าจะถอดออกมาแล้วเหมือนต้นแบบ 100 เปอร์เซ็นต์
เนื่องจากการออกเสียงแต่ละภาษานั้นต่างกันมาก

อย่างเช่นสระเสียงสั้นของไทยจะเป็นเสียงตาย คือมีการปิดของเส้นเสียงทุกครั้งที่ออกเสียง ทำให้เป็นเสียงกระชาก เวลาที่คนไทยแต่งกลอน จึงไม่นิยมจบวรรค
ด้วยสระเสียงสั้น ขณะที่สระเสียงสั้นของบางภาษาเช่นภาษาญ๊่ปุ่น จะไม่มีการปิดเส้นเสียง ดังนั้นการถอดเสียงภาษาญี่ปุ่นเสียงสั้นโดยใช้สระเสียงสั้นของไทย
จึงเป็นเสียงที่ "ไม่สะดวกปาก" สำหรับคนไทย เช่น TOYOTA คนไทยจะสะดวกกับการออกเสียงว่า โต-โย-ต้า มากกว่า โตะ - โยะ -ตะ ซึ่งมันทะแม่งปากมากๆ

หรือภาษาอังกฤษ จริงๆแล้วภาษาอังกฤษนั้นเป็นภาษาที่ห่วยมากในการออกเสียง เพราะเป็นภาษาที่มี Stress โดยจะออกเสียงหนัก และชัดเฉพาะส่วนที่มี Stress
แต่จะออกเสียงเป็นเสียง เออะ หรือเสียงล้มเข้าหากันหมดไม่ชัดเจนในพยางค์ที่ไม่มี Stress ขณะที่ภาษาไทยจะคล้ายๆภาษาอิตาลีหรือสเปนที่เน้นน้ำหนักเท่าๆกันทุกเสียง อย่างคอมพิวเตอร์
ถ้าจะถอดให้เป็นเสียงฝรั่งจริงๆก็ต้องออกว่า ข่ม - พิ้ว - เตอะ ซึ่งถ้าเขียนแบบนี้แล้วดูเป็นภาษากะเหรี่ยงยังไงชอบก๊ล หรือถ้าให้ฝรั่งที่ไม่คุ้นกับภาษาไทยมาเรียกชื่อคนไทยเช่น พิทยา
ก็จะออกเสียงเป็น พี้ท - เถอะ -เย่อะ ฟังให้ตายก็ไม่รู้ว่าเป็นพิทยา

มีนักเขียนคนนึงของต่วยตูนชื่อศจ.กีรติ ท่านเขียนเกี่ยวกับตำนานกรีก จริงๆแล้วเนื้อหาดีมาก แต่ท่านยืนยันว่าจะถอดเสียงแบบฝรั่ง เวลาคุยกับฝรั่งจะได้เข้าใจ เฮอร์คิวลิส ก็เลยกลายเป็นเหอ คู หลิส
อันโดรเมอะเดอะ เฮ้เหลิ่น อ่านแล้วเวียนหัว จำตัวละครไม่ได้สักตัว เลยต้องเลิกอ่านคอลัมน์ของ่ท่านด้วยความเสียดาย แต่อยากเรียนท่านว่าภาษากรีกก็เน้นน้ำหนักทุกพยางค์ในคำนะครับท่าน
ไม่ต้องมีสตเรส

ผมว่าราชบัณฑิตยุคนี้รู้แต่ภาษาไทย แต่ไม่รู้ภาษาต่างประเทศ แล้วก็ไม่ได้เรียนด้านภาษาศาสตร์ด้วย ถึงได้มีนโยบายอะไรพิลึกๆแบบนี้ออกมานะครับ


#430569 82 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้ที่เกิดก่อนกาล

โดย isa on 27 กันยายน พ.ศ. 2555 - 13:41

พูดตรงๆ ผมเองก็เคยเป็นแฟนของจิตร ภูมิศักดิ์อยู่ช่วงหนึ่ง
แต่พอมิวุฒิภาวะสูงขึ้นก็เลิกอ่านเด็ดขาด เลิกเก็บหนังสือของแกด้วย

จิตรอาจจะเป็นนักนิรุกติศาสตร์และโบราณคดีที่เก่ง แต่เหมือนกับนักคิดซ้ายอื่นๆที่พอเอาแนวคิดมาร์กซิสม์ครอบหัว
ก็กลายเป็นโลกทัศน์แคบลงไปทันที

อย่างงานเอกของจิตร ที่มาของชื่อเขมร ลาว ไทย มีข้อมูลทางนิรุกติศาสตร์แน่นมาก แต่พอบอกว่า คำพวกนี้มีที่มาจาก
การถูกดูถูกข่มเหง จึงต้องตั้งชื่อชนชาติตัวเองให้มีความหมายโดดเด่น เช่น อิสระ รุ่งเรือง ฯลฯ งานชิ้นนี้ก็กลายเป็นด้อยค่าลงไปทันที
ผมเริ่มสงสัยว่าจิตรเข้าใจธรรมชาติแท้จริงของมนุษย์จริงๆแน่หรือ

มนุษย์ขี้เหม็นนั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้คนอื่นมาดูถูกจึงจะลุกขึ้นมาอวดอ้างตัวเองหรอกครับ มนุษย์ขี้โม้ในโลกนี้ก็มีถมไป
ดูอย่างแค่ขนาดของไอ้จู๋ก็เอามาข่มกันได้เลย ชื่อลูกชื่อหลานก็ตั้งกันซะวิลิศมาหราอลังการงานสร้าง
และเรื่องข่มกันน่ะ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ไม่งั้นเรื่องโจ๊กประเภทดูถูกชนชาติอื่นก็คงไม่แพร่หลายทั่วโลกหรอก
ขนาดฝรั่งอย่างฝรั่งเศส อเมริกัน อังกฤษ ยังมีโจ๊กดูถูกกันเองเล๊ย

หรือที่หาว่าคนมีความรู้ มีการศึกษาดูถูกคนจนข้างเดียวน่ะ คนจนก็คอยหาช่องหัวเราะเยาะคนรวยเหมือนกันแหละ
อย่างพวกคนงานที่คอยแอบนินทาวิศวกรว่ากวนปูนก็ไม่เป็นบ้างละ หรือคำว่า ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน
หรือเพลงอย่าง "คนเมืองกรุงนุ่งยาว สวมรองเท้าสูงจัง คงจะพลั้งสักวัน ลองไปเดินบ้านฉันไม่ทันถึงสามวา ตกคันนาตาลอย"
ก็มีนัยยะของการดูถูกคืนของคนบ้านนอกเหมือนกัน สรุปก็คือการดูหมิ่นมันไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายทางการเมืองหรอกนะ
เว้นแต่มีคนเอามาปลุกระดมเป็นประเด็นอย่างทุกวัน

หรือหนังสือที่จิตรเขียนเกี่ยวกับศิลปะ ที่บอกว่าศิลปะต้องรับใช้พรรค รับใช้ประชาชนน่ะ แสดงว่าจิตรไม่ได้รู้เรื่องอะไรเรื่องศิลปะเลย
ศิลปะแท้นั้นสะท้อนอารมณ์ของศิลปินล้วนๆเลยครับ แต่ละคนมีแนวคิดยังไงก็สะท้อนไปแบบนั้น ศิลปะจึงเป็นเรื่องของปัจเจก
ถ้าอยากเห็นศิลปะแบบที่จิตรพูดถึง ลองไปหาหนังสือรวมโปสเตอร์สมัยเหมามาดูครับ นายแบบนางแบบแต่ละคนแก้มแดงเป็นลูกท้อ
หน้าตามุ่งมั่นโพสต์ท่าซะฟอร์แม็ตเดียวแบบการ์ตูนวัยรุ่นญี่ปุ่นยุค "เธอเห็นตะวันนั่นไหม เราวิ่งไปหาดวงตะวันกันเถอะ"
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงคนจีนอดตายกันเป็นล้านๆ แล้วคุณค่ามันต่างจากโปสเตอร์โฆษณาซีอิ๊วเด็กสมบูรณ์ตรงไหน

หรืองานเขียนสองชิ้นที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตรจะโดนโยนบกที่จุฬา งานเขียนกลอน เธอคือหญิงรับจ้างแท้ใช่แม่คน นั้นผมไม่มีข้อติติง
แต่งานเขียน "ผีตองเหลือง" ที่จิตรวิจารณ์เรื่องการทอดกฐินทำบุญเอาหน้า แสดงว่าจิตรไม่ได้มีความรู้เรือง "บุญกริยาวัตถุ 10"
ของพุทธเลยแม้แต่น้อย การทำบุญให้คนอื่นเห็น คนที่เห็นแค่ยกมืออนุโมทนา แค่นี้ก็ได้บุญแล้วนะครับ ไม่ต้องควักกระเป๋าด้วยซ้ำ
แต่จิตรวิจารณ์โดยด่าอย่างเดียว ไม่มีการชี้คุณชี้โทษให้คนเห็นด้วยซ้ำ แสดงว่าไม่มีความรู้เรื่องพุทธเอาเสียเลย

และยิ่งทำให้ผมข้องใจเรื่อง "วิพากษ์วิธี" ที่พวกฝ่ายซ้ายยกย่องกันนักหนาว่ามันดีจริงหรือ สิ่งที่ได้จากการพัฒนานักวิพากษ์
ก็คือได้แค่พวกที่ "ไม่ทำห่า สักแต่ว่าด่าคน" ซึ่งสังคมไทยมีมากเกินพอเสียด้วยซ้ำ แถมลองให้พวกลองมาทำงานจริงๆดูสิ ได้เห็นคนชิบหาย
ตายกันเป็นล้านแน่ เพราะสักแต่วิจารณ์จากในกะลา ไม่เคยเห็นภาพรวมๆด้วยซ้ำ ดูจากหัวเหม่งพิชญ์เป็นตัวอย่าง
"น้ำมันขึ้นราคา ทำไมก๋วยเตี๋ยวต้องแพง คุณใส่น้ำมันในก๋วยเตี๋ยวหรือ" พูดไปด๊าย เป็นอาจารย์ซะเปล่า

สรุปว่าจิตรเป็นนักเขียนซ้่ายอีกคนที่ผมเลิกอ่านงานไปนานแล้วครับ


#430245 82 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้ที่เกิดก่อนกาล

โดย isa on 27 กันยายน พ.ศ. 2555 - 10:40


เอาคนเมืองไปทำงานไร่นา คนตายไปอีกเป็นหลักล้าน เศรษฐกิจจีนถอยหลังเข้าคลอง แต่พวกคนเดือนตุลาที่ยังไม่ออกจากกะลา
ยังสรรเสริญเหมาอยู่จนปัจจุบัน
- เวียดนามเหนือเอาชนะเวียดนามใต้ รวบรวมประเทศได้ แต่ก็ขับคนระดับพ่อค้า ชนชั้นกลางออกจากประเทศเป็นโบท พีเพิล ออกมาตายกลางทะเลเป็น
เรือนหมื่นเรื่อนแสน สุดท้ายก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง รับคนพวกนี้กลับเข้าประเทศไปใหม่ เพราะต้องการมันสมองในการพัฒนาประเทศ แต่คนตายเปล่า
ไปเท่าไหร่
- พลพตที่่เป็นศิษย์ก้นกุฎของความคิดเหมา เกณฑ์คนเมืองไปทำนา คนตายไปสามล้าน สุดท้ายประเทศขาดมันสมอง มีแต่ชาวนากับกรรมการ
แค่จะสร้างสะพานข้ามคูข้ามคลอง ยังต้องให้บริษัทญี่ปุ่นไปช่วยสร้างให้ เพราะขาดทั้งหมอ ครู วิศวกร ประเทศชาติถอยหลังไปร่วม 30 ปี ยังไม่นับรวม
คนที่ต้องตายเพราะขาดการรักษาพยาบาลและสุขอนามัยขั้นพื้นฐานในระหว่างนั้น...

และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อสงครามสงบแล้ว และพรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจเบ็ดเสร็จในกำมือ

...ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนงมโข่งอยู่กับแนวความคิดนี้อีก สิ่งเดียวที่ผมทึ่งกับพวกนักคิดค่ายคอมมิวนิสต์ก็คือม้นช่างลวงโลกและหลอกตัวเองได้จริงๆ ตั้งแต่หัวยันหาง
และไม่น่าเชื่อว่าจะมีการปกครองใดที่ผลาญชีวิตพลเมือง "ของตัวเอง" ได้เท่ากับลัทธิคอมมิวนิสต์อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นราชาธิปไตย หรือเผด็จการรูปแบบใดๆก็ตาม



สรุปได้ว่ามนุษย์โลกไม่มีวันเท่าเทียมกันได้

เพราะมนุษย์ที่เกิดมาไม่มีทางจะมีระดับมันสมองที่เท่าเทียมกันได้

ความเท่าเทียมของคอมมิวนิสต์จึงเป็นเรื่องเพ้อฝัน


ใช่ครับ และผมตั้งข้อสันนิษฐานว่าความแตกต่างบางอย่าง มันฝังถึงระดับ DNA ด้วยซ้ำ
อย่างเราจะพบว่าเชื้อชาติหลักๆที่ยึดครองเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของโลกนั้นมีอยู่แค่ 3

(เราพูดถึงเชื้อชาตินะครับ ไม่ใช่ชนชาติ) นั่นคือยิว ครองแถบยุโรป อเมริกา
จีนครองแถบเอเชีย และอินเดีย ครองแถบแอฟริกาบางส่วน

ผมไม่ใช่คนจีน แต่ก็มีเครือญาติจีนบ้างบางคนจากการแต่งงานของพี่ๆ
เท่าที่สังเกตก็คือคนจีนจะมีธรรมชาติของการจัดองค์กรอยู่ในตัว ไม่ว่าระดับครอบครัว
หรือระดับชุมชน ซึ่งเอื้อต่อการตั้งเครือข่ายธุรกิจ หรือจับกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง

และในระดับปัจเจก คนจีนจะมีแรงกระตุ้นในการสร้างกิจการด้วยตัวเอง ซึ่งตรงนี้แหละ
ที่อาศัยคุณสมบัติพื้นฐานในระดับ DNA อย่างคนที่จะเป็นเจ้าของกิจการ ต้องประสาทแข็ง
สมาธิดี มีน้ำอดน้ำทน รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีความเป็นผู้นำ ซึ่งเรื่องพวกนี้ฝึกได้ก็จริง แต่ก็เป็นคุณสมบัติพื้นฐาน
ธรรมชาติที่ติดตัวตั้งแต่เกิดได้เช่นกัน และเป็นข้อได้เปรียบมากๆด้วย

ขณะที่เทียบกับคนไทย ต้องยอมรับว่าคนไทยทั่วไปมีความเนือยอยู่ในตัวเอง ส่วนใหญ่เราเลยไม่ประสบความสำเร็จ
ในการสร้างกิจการที่จะต้องอึดต่อเนื่องกว่าจะตั้งไข่สำเร็จ คนไทยเลยนิยมเป็นข้าราชการและพนักงานบริษัทมากกว่า

ขณะที่ในส่วนของคนอีสาน ขยันมากก็จริง แต่มีสองคุณสมบัติที่บั่นทอนก็คือการเป็นนักสุขนิยมจนบางครั้งขาดวินัยทำงาน
และความขยันแบบสายป่านขาด คือช่วงที่ลำบากก็ขยันเต็มที่ แต่พอเริ่มมีเงินมีทอง เริ่มสบาย ก็สายป่านขาด เริ่มเละ
เข้าทำนอง "รวยแล้วเลิก" ทำให้เสียสายสัมพันธ์ธุรกิจ ลูกค้า ที่อุตส่าห์สร้างมา พอเงินหมด กลับมาทำใหม่ ก็ต้องปั้นจากศูนย์ใหม่
ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามของการสร้างกิจการ

นั่นคือสาเหตุที่ทำไมคนไทยแท้ๆถึงไม่รวย ในความคิดของผมนะ และถ้าเราไล่คนจีนออกไปจากประเทศทั้งหมด
แล้วเอาคนไทยมาทำแทน เราก็จะเจอวิกฤติการแบบอูกานดา หรือประเทศแอฟริกาบางประเทศที่ปฏิวัติเป็นเผด็จการ
ไล่คนอินเดียกับฝรั่งออกไป แล้วยึดมาให้คนพื้นเมืองทำแทน นั่นก็คือ "เจ๊งทั้งประเทศในเวลาแค่สัปดาห์เดียว" ครับ

ดังนั้นความคิดเรื่องความเท่าเทียมของคอมมิวนิสต์นั้น "ละเมอตด" ล้วนๆครับ


#430183 82 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ ผู้ที่เกิดก่อนกาล

โดย isa on 27 กันยายน พ.ศ. 2555 - 10:03

ขณะที่รัสเซียปฏิวัติประเทศเป็นสังคมนิยม คนตายไปหลายสิบล้าน
ขณะที่จีนปฏิวัติเปลี่ยนประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ คนก็ตายไปหลายสิบล้าน
ขณะที่เวียดนามเปลี่ยนประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ คนก็ตายไปหลายสิบล้าน
ขณะที่กัมพูชาเปลี่ยนประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ คนก็ตายไปเป็นหลักล้านเช่นกัน

...เอาเถอะ เราจะนับว่ามันเกิดขึ้นในสงคราม เกิดขึ้นในการต่อสู้
แต่ว่า

- ตอนที่สตาลินโค่นทร็อตสกี้เพื่อชิงอำนาจกองทัพ คนตายไปหลายสิบล้าน ยังไม่นับที่ต้องตายจากกองทัพเยอรมัน
เพราะผลพวงจากการทำลายกองทัพของตัวเองด้วยความระแวงของสตาลิน และไม่ยอมให้กองทัพถอยไปตั้งหลัก
ขณะที่มีโอกาสถอยได้
- การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการเกษตรของสตาลินทำให้คนรัสเซียตายไปร่วมสามสิบล้านคน
- เหมาไปเห็นโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียและดี๊ด๊าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมและเกษตรจีนตามอย่างสตาลิน ทั้งๆที่ครุซซอฟห้ามแล้ว
คนจีนตายไปสามสิบกว่าล้าน - อดตาย ใครที่มีญาติอยู่เมืองจีนในยุคนั้นจะรู้ดี
- เหมาถือหางพวกเรดการ์ด ซึ่งก็คือเวอร์ชั่นจีนที่เป็นต้นแบบของไทยในปัจจุบัน แย่งอำนาจจากสมาชิกพรรคอื่นๆที่ต้องการจะถอดถอนเหมา
จากความผิดพลาด ฆ่าฟันฝ่ายตรงกันข้าม ปล่อยให้เรดการ์ดฆ่าคนทั่วไปที่ตนหมั่นไส้และอิจฉา
เอาคนเมืองไปทำงานไร่นา คนตายไปอีกเป็นหลักล้าน เศรษฐกิจจีนถอยหลังเข้าคลอง แต่พวกคนเดือนตุลาที่ยังไม่ออกจากกะลา
ยังสรรเสริญเหมาอยู่จนปัจจุบัน
- เวียดนามเหนือเอาชนะเวียดนามใต้ รวบรวมประเทศได้ แต่ก็ขับคนระดับพ่อค้า ชนชั้นกลางออกจากประเทศเป็นโบท พีเพิล ออกมาตายกลางทะเลเป็น
เรือนหมื่นเรื่อนแสน สุดท้ายก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง รับคนพวกนี้กลับเข้าประเทศไปใหม่ เพราะต้องการมันสมองในการพัฒนาประเทศ แต่คนตายเปล่า
ไปเท่าไหร่
- พลพตที่่เป็นศิษย์ก้นกุฎของความคิดเหมา เกณฑ์คนเมืองไปทำนา คนตายไปสามล้าน สุดท้ายประเทศขาดมันสมอง มีแต่ชาวนากับกรรมการ
แค่จะสร้างสะพานข้ามคูข้ามคลอง ยังต้องให้บริษัทญี่ปุ่นไปช่วยสร้างให้ เพราะขาดทั้งหมอ ครู วิศวกร ประเทศชาติถอยหลังไปร่วม 30 ปี ยังไม่นับรวม
คนที่ต้องตายเพราะขาดการรักษาพยาบาลและสุขอนามัยขั้นพื้นฐานในระหว่างนั้น...

และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อสงครามสงบแล้ว และพรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจเบ็ดเสร็จในกำมือ

...ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนงมโข่งอยู่กับแนวความคิดนี้อีก สิ่งเดียวที่ผมทึ่งกับพวกนักคิดค่ายคอมมิวนิสต์ก็คือม้นช่างลวงโลกและหลอกตัวเองได้จริงๆ ตั้งแต่หัวยันหาง
และไม่น่าเชื่อว่าจะมีการปกครองใดที่ผลาญชีวิตพลเมือง "ของตัวเอง" ได้เท่ากับลัทธิคอมมิวนิสต์อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นราชาธิปไตย หรือเผด็จการรูปแบบใดๆก็ตาม

  • aya likes this


#416469 เรื่องเล่าจากก๊วนกอล์ฟ ตอน สองหนุ่มผู้อ่อนแรงนั่งคุยกัน

โดย isa on 16 กันยายน พ.ศ. 2555 - 09:08


ด้วยความนับถือท่านโจโฉ สรุปว่าประเทศนี้ยังอยู่ในวังวนของคอร์รัปชั่น

มีนอกมีในไม่ว่าเล็กว่าใหญ่ สังคมประชาธิปไตยเเบบไทยๆต้องก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้องเหล่านี้เเล้วหรือ

ทุกวันนี้เหล่าครูบาอาจารย์ก็สอนเเต่สิ่งผิดๆให้ลูกหลานซิ

มันคงต้องเเก้ไขหลักการสอนใหม่เเล้ว

การทำธุรกิจการงานใดๆต้องหัดมีนอกมีในเพื่อความสัมฤทธิ์ผลของการงานนั้น

เเล้วประเทศจะดำรงคงอยู่ในโลกนี้อย่างสง่างามกระนั้นหรือ


ด้วยความนับถือสมาชิกทุกท่านครับ ผมเห็นด้วยกับข้อความข้างบน
แต่ในความคิดผมแล้ว เป็นการยากที่คนดีบริสุทธ์จะสามารถหยัดยืน
ในสังคมที่โหดร้ายนี้ได้ในสถานการณ์ปัจุบัน แต่แน่นอนครับว่า
การจะเปลี่ยนสังคมจากดำเป็นขาวนั้น คงต้องเริ่มจากการเติม
สีขาวเข้าไปเจือจางเรื่อยๆ จนเทา และสักวัน หนึงมันก็อาจจะ
ขาวได้ ไม่ว่าวันนั้นมันจะนานแค่ไหนก็ตาม ปัจจัยมันเยอะเหลือเกิน
เอาแค่เปลี่ยนทรรศนะคติของประชาชนให้มีจิตสำนึกต่อประเทศชาติ
ร่วมกัน ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ยิ่งบริหารแบบใช้ทุนนิยม
นำหน้าแบบแม้วอีก ..ไม่รู้อีกกี่ชาติ ถึงจะสงบสุขได้
....หรือว่าจะมีแต่ในอุดมคติก็ไม่รู้....ด้วยความเคารพครับ


จะให้ประชาชนมีจิตสำนึกชาติได้อย่างไรล่ะครับ
ในเมื่อนักวิชาการที่เป็นคนผลิตประชาชนระดับเอลีต
ก็ไม่มีจิตสำนึกของความเป็นชาติ
พอพูดเรื่องชาติไป มันก็หาว่าชาตินิยมคือความคลั่งชาติ
เรื่องชาตินิยมกับความคลั่งชาติมันยังแยกแยะไม่ออก
โดยเฉพาะพวกค่ายมติชินกับพวกสายสังคมศาสตร์คนรุ่นเดือนตุลานี่แหละ
ตัวดี


#322703 ทำไมถึงจองล้างจองผลาญแพรวา

โดย isa on 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 10:47

แปลกใจกับมุมมองของหลายๆคนครับ

- ขับรถไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุ นั่นน่ะใช้ครับ แต่รู้จักคำว่า "Defensive Driving" ไหมครับ อุบัติเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น
ก็เพราะคนขับละเลยที่จะปฏิบัติตามกฎจราจร หรือขับรถในลักษณะล่อแหลมที่จะให้เกิดอุบัติเหตุ อย่างเช่น ขับจี้ท้ายด้วยความเร็วสูง
ปาดหน้า แซงในที่คับขัน เร่งแซงในขณะที่รถคันหน้าชะลอ แซงขณะข้ามสะพาน ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่จะควบคุมได้
ในภาวะคับขัน ฯลฯ ถ้าเป็นกรณีแบบนี้โปรดอย่าใช้คำว่า "ขับรถไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุ" เลยครับ เพราะขับกันแบบนี้มันก็
เชิญชวนอุบัติเหตุกันอยู่แล้ว ถ้าจะพูด ก็ไปพูดในกรณีที่สุดวิสัย อย่างยางแตก หรือถูกตัดหน้าระยะประชิด หรืออะไรทำนองนี้ดีกว่า

- คนที่เสียชีวิตเป็นคนของธรรมศาสตร์ จึงตามฟ้อง อันนี้ขอความกรุณาแยกแยะด้วยนะครับ ระหว่าง "นักวิชาการที่อาศัยชื่อธรรมศาสตร์หากิน"
กับ "ประชาคมธรรมศาสตร์" ออกจากกันด้วย สาเหตุที่คดีนี้ธรรมศาสตร์เข้ามาเกี่ยวเยอะ แม้จะดูเป็นคดีอุบัติเหตุธรรมดา แต่เป็นคดีสะเทือนขวัญที่มีคน
ของมหาวิทยาลัยเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ธรรมศาสตร์นั้นเป็นแหล่งผลิตนักกฎหมายอยู่แล้ว มหาลัยก็เลยมีพลังพอที่จะช่วยกัน
ดำเนินกลวิธีทางกฎหมายได้ ขณะที่เป็นคนทั่วไป ขาดทรัพยากรและเวลาที่จะดำเนินคดีได้ เรื่องก็เลยเงียบเร็ว ...การที่มหาวิทยาลัย
มีบุคลากรและจิตสำนึกร่วมพอที่จะช่วยดำเนินการหาความยุติธรรมให้กับเหยื่อได้นี่มันเป็นความผิดของมหาวิทยาลัยเหรอครับ

- แล้วก็เรื่องที่เด็กคนนี้เป็นคนรวย - คนที่การศึกษาสูง คนที่ต้นทุนการศึกษาสูง คนที่ต้นทุนสังคมสูง ย่อมถูกคาดหวังจากคนธรรมดามากเป็นปกติอยู่แล้ว
อย่างเด็กแว้นต่อยกันข้างถนนคงไม่เป็นข่าว แต่ถ้าด็อกเตอร์ต่อยกัน ก็ได้ขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแน่นอน หรือคนขับสิบล้อจบป.4 ขับรถชนคนตายแล้วหนี
สังคมก็คงด่าไปตามปกติเพราะไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเป็นด็อกเตอร์ เป็นคนการศึกษาสูง เป็นแพทย์ ไปขับรถชนคนตายแล้วหนี สังคมย่อมประนามคุณ
หนักแน่นอน เพราะสังคมคาดหวังกับจิตสำนึกรับผิดชอบสังคมจากคนระดับคุณสูงกว่านี้ กรณีนี้ก็เหมือนกัน สังคมคาดหวังความรับผิดชอบจากครอบครัวเด็กคนนี้
ให้สมกับที่อยู่ในฐานะสูงในสังคมครับ

...กรุณาอย่าใช้เหตุผลว่า "เพราะอิจฉาคนรวย" ในกรณีแบบนี้เลยครับ มันเป็นตรรกแบบไพร่ๆ เราที่นั่งด่ากันอยู่ไม่ใช่ไพร่นะครับ ต่างคนต่างก็มีฐานะ มีความรู้ดีอยู่แล้ว
การเอาจิตสำนึกแบบนั้น ค่านิยมแบบนั้นมาใส่ตัว มันไม่ใช่เรื่องสมควรครับ

ขอเสริมอีกนิด เรื่องของคนรวย - คนรวยเกินไปนั้น เป็นอันตรายพอๆกับคนจนเกินไปครับ ในโลกนี้คนที่ละเมิดกฎหมายได้ง่ายที่สุด
ก็คือ "คนที่จนเกินไปจนไม่มีอะไรจะเสีย"- นั่นคือสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ยอมควักเงินให้ง่ายๆ เวลาที่มีคนหน้า***มๆเดินมาขอเงินแล้วบอกว่า "ผมเพิ่งออกมาจากคุก"
และ "คนที่รวยเกินไปจนกฎหมายทำอะไรไม่ได้" - เราเป็นคนชั้นกลางที่อยู่ตรงกลาง ที่ต้องอยู่ใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หนีไม่ได้ เลี่ยงไม่เป็น
ปัจจุบันเราก็เสี่ยงตายอยู่แล้วกับพวกไพร่ชีวิตราคาถูกเกินกว่าจะยี่หระกับกฎหมายที่คนรวยจ้างมาทำลายประเทศเล่น แล้วคุณจะเปิดช่องให้กับ
พวกเศรษฐีน้อยๆมาพร่าชีวิตคนเล่นบนท้องถนนโดยปราศจากความผิดอีกเหรอครับ

สิ่งที่คนต้องการไม่ใช่การทำลายชีวิตแพรวา แต่ต้องการกรณีตัวอย่างที่จะกำราบไม่ให้พวกคนรวยเหนือกฎหมายเหิมเกินไปจนไม่เห็นค่าชีวิตคนอื่น
...ลองนึกภาพว่าพ่อ แม่ ลูก หรือคนที่เรารักออกไปทำงานตอนเช้า แต่ตอนเย็นไม่ได้กลับมาอีกเลย ...แต่ตายเหมือนหมาข้างถนน เพราะถูก
ลูกคนรวยที่อยู่เหนือกฎหมายขับรถโดยประมาทชนตาย ไม่มีการรับผิดชอบ ไม่มีการชดเชย...แล้วครอบครัวที่อยู่ข้างหลังเขาจะอยู่กันอย่างไร
ใครจะช่วยรับผิดชอบอนาคต ผมว่าเรื่องนี้น่าเศร้ามากกว่าชีวิตแพรวาหลายเท่านะ



#322524 ทำไมถึงจองล้างจองผลาญแพรวา

โดย isa on 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 - 08:40

เพราะคนที่เสียชีวิตไป เป็นคนที่มีคุณค่าต่อสังคมมากกว่าแพรวาเยอะ
หนำซ้ำไม่ได้ตายคนเดียวด้วย

...และแพรวาหรือครอบครัวก็ไม่ได้มีท่าทีแสดงความเสียใจหรือขอโทษ
ที่เหมาะสมต่อการผลาญทรัพยากรที่ทรงคุณค่าของครอบครัวและสังคมไปทีเดียว
หลายๆคนแบบนั้น ด้วยสาเหตุเพียงนิดเดียวคือความประมาทและคะนอง
และที่ชนขนาดนั้นได้ ก็ต้องขับจี้ท้ายด้วยความเร็วสูง "ซึ่งไม่ใช่การขับรถที่
ถูกต้องและปลอดภัยแน่นอน"

บางคนอาจจะเฉยๆกับการขับรถเร็วและสวี้ดสว้าดแบบนี้ แต่ผมจะรำคาญมาก
เพราะเวลาพลาดขึ้นมา คุณไม่ได้ตายคนเดียว คนอื่นตายด้วย หรือกรณีแพรวา
เจ้าตัวไม่ได้ตาย แต่คนอื่นตายกันมากมาย คนเราควรจะมีจิตสำนึกในการใช้รถใช้ถนน
มากกว่านี้ อุบัติเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากความใจร้อน ความมักง่ายนี่แหละครับ
อย่างการชนคนบนทางม้าลาย การชนรถที่เลี้ยวออกจากซอย การชนรถที่แยกไฟแดง
หรือปาดหน้าจนเกิดการเฉี่ยวชน ก็เพราะมองว่าการขับรถโดยไม่ระมัดระวัง
"เป็นเรื่องธรรมดา" นี่แหละ

แล้วก็เป็นการแสดงความหดหู่ต่อสังคมไทยด้วยที่่ไม่ให้ความสำคัญต่อ
ทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าที่สร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
แต่กลับไปใส่ใจกับเด็กที่มีดีแค่ครอบครัวรวย แต่ขาดจิตสำนึก
และความเคารพต่อชีวิตคน ที่ในอนาคตก็คงจะไม่ได้มีคุณค่าอะไร
ต่อสังคมดีไปกว่านี้ แถมดีไม่ดีจะกลายเป็นภาระให้สังคมต้อง
เดือดร้อนรำคาญยิ่งไปกว่านี้ (คล้ายๆคดีหมูหงิก)

...และถ้าเจ้าตัวยังไม่สำนึก อนาคตก็จะยังมีอีกหลายศพครับ
ไม่ใช่แค่นี้ (อย่างดาราดังรูปหล่อนายหนึงที่ผมจะไม่ขอระบุชื่อ)
ขานั้นก็เอาทีละศพ แต่หลายๆศพอยู่เหมือนกัน) และก็กลายเป็นโมเดล
ของพวกคนรวยที่ซ์้อรถให้ลูกหลานที่อายุยังน้อยขับ และชนคนโดย
ไม่ติดคุกไป (อย่างตี๋ที่ขับรถหรูชนสาวลาวขาดสองท่อนนั่นไง)

คิดดีๆนะครับ...


#307264 สมาชิกขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด ลองโต้แย้งสมศักดิ์หัวโตหน่อยนะครับ

โดย isa on 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 14:44

ผมเชื่อว่าพวกคณะราษฎร์ที่ไปเรียนจบมาจากฝรั่งเศสคิดล้มเจ้า!
เพราะพวกนี้ก็เป็นแค่เด็กเห่อ... ที่ไปรับความคิดปฏิวัติแบบสุดโต่งที่ระบาดในฝรั่งเศสเข้าเต็มๆ
ตัวอย่างสองคนที่รับเชื้อร้ายนี้มาก็คือปรีดี กับป. พิบูลสงคราม

แต่คณะราษฎร์สายทหารอื่นๆที่จบมาจากประเทศอื่นคงไม่มีความคิดชั่วร้ายเช่นนั้น

ปรีดีเองส่อแนวคิดมาตั้งแต่เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ลอกรัสเซียมาจนร.7 ไม่ยอมเซ็นให้นั่นแหละ
แล้วก็สืบเชื่อให้ลูกศิษย์ต่อๆกันมา

ผมไม่เชื่อว่าปรีดีจงรักภักดีตั้งแต่ก่อกบฎวังหลวง โดยเอาญวนกับเขมรฝ่ายซ้ายเป็นกำลังร่วมของตัวเองแล้ว
และถ้าเป็นคนที่มีศาสนา ปรีดีควรจะรู้ว่าวังหลวงติดกับวัดพระแก้วที่มีพระแก้วมรกตที่เป็นศูนย์รวมน้ำใจคนไทย
สิ่งที่ปรีดีทำ จึงเป็นสิ่งที่คนทั่วไปรุ่นหลังควรจะตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของคนผู้นี้

จอมพลป.เองก็มีพฤติกรรมข่มเจ้ามาตั้งแต่เริ่มต้นแล้วหนักข้อยิ่งๆขึ้น จนพยายามตั้งตัวเป็นกษัตริย์กลายๆ
แม้กระทั่งให้คนยืนเคารพตัวเองในโรงหนัง

แต่ถ้าเป็นคนที่จบมาจากเยอรมัน หรืออังกฤษ ผมเชื่อว่ายังมีความเกรงใจเจ้ากันอยู่
นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกสายฝรั่งเศสไม่พอใจ


#283198 ไทยล้านนา

โดย isa on 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 20:40

ประวัติศาสตร์น่ะ แล้วแต่คนที่อ้างจะย้อนยุคไปอ้างแค่ไหนต่างหากครับ แต่ต้องคำนึงถึงหลักความเป็นจริงด้วย ความเป็นจริงที่ว่าก็คือ

1. คนที่พูดภาษาไทย-ลาว นั้นกระจายอยู่ตั้งแต่จีนตอนใต้จนถึงใต้สุดของสุวรรณภูมิ ไปจนถึงตอนใต้ของอินเดีย แต่ข้อเสียของคนไตนั้นก็คือขาดแคลนความรู้ทางด้านรัฐศาสตร์และการทหารที่จะสร้างตัวเองเป็นระดับอาณาจักรแบบจีนหรืออินเดียได้ ส่วนใหญ่จึงปกครองแบบเจ้าฟ้า เป็นเมืองเล็กๆกระจายกันทั่วไป และมักตกอยู่ภายใต้อำนาจของเชื้อชาติอื่นที่มีเทคโนโลยีด้านการทหารและการปกครองที่เหนือกว่า

2. คนไท-ลาวที่อยู่ทางใต้ของจีนนั้น มักถูกผลกระทบจากสงครามจากจีนที่มีเทคโนโลยีทางการทหารเหนือกว่าอยู่บ่อยครั้ง การตั้งอาณาจักรขนาดใหญ่นั้นเป็นไปได้ยาก อย่างสมัยกุบไลข่าน อาณาจักรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทั้งหมดถูกผลกระทบ บางแห่งถึงกับสิ้นชาติไปเลย ดังนั้นที่บอกว่าเป็นความผิดของสยามนั้น "แหลทั้งเพ"

3. ล้านช้างกับล้านนานั้นไม่มีทางออกทะเล อาศัยการค้าขายกับจีน เมื่อมาถึงยุคที่เทคโนโลยีปืนไฟ-ปืนใหญ่จากตะวันตกเข้ามาสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช อยุธยา ล้านนา-ล้านช้างก็หมดทางสู้สยามหรือพม่า สมัยที่ทัพไทยตามตีเจ้าอนุวงศ์ถึงเวียงจันทร์ ขากลับเขาอุดปืนใหญ่เวียงจันท์ทิ้งน้ำหมดเลยครับ ไม่ขนกลับ เพราะเทคโนโลยีหล่อโลหะไม่เข้าขั้น ขณะที่ปืนใหญ่นางพญาตานีจากเมืองปัตตานีถูกขนกลับกรุงเทพ

4. หลังจากที่พระเจ้าล้านช้างร่มขาว พระเจ้าไชยราชาธิราชที่ครองทั้งล้านนา-ล้านช้าง เรียกว่าเป็นยุคที่รุ่งสุดๆแพ้ให้กับบุเรงนองจนต้องหนีเตลิดเข้าป่า ล้านนาก็เป็นเมืองขึ้นของพม่าชนิดที่เรียกว่าโงหัวไม่ขึ้น เพราะไม่ได้ปกครองบ้านเมืองตัวเองด้วยซ้ำ แต่มีโป่หัวขาวจากพม่ามาคุม ตั้งแต่สมัยบุเรงนองแล้ว
5. ที่บอกว่าเจ้าเมืองเหนือนั้น สงสัยว่าจะเป็นเชื้อสายพระเจ้าเม็งรายจริงหรือ เพราะเชื้อสายปัจจุบันมาจากเจ้ากาวิละที่กู้เมืองเป็นเอกราชจากพม่า แต่เจ้ากาวิละเองก็มาขอพึ่งพระเจ้าตาก เพราะลำพังกำลังเชียงใหม่ ไม่มีทางต้านทัพพม่าได้ ขนาดกรุงเทพฯเอง เจอศึกเก้าทัพเข้าไปยังแทบแย่ คิดว่าเชียงใหม่มีคนไม่ถึงหมื่นจะต้านพม่าไหวเหรอครับ ถ้าไม่ได้สยามช่วย เชียงใหม่ป่นไปตั้งนานแล้ว

6. ในยุคร.5 พม่าอยู่ใต้ปกครองของอังกฤษ และอังกฤษก็พยายามเหยงๆที่จะเอาล้านนาไปขึ้นกับอังกฤษ ดีแต่เจ้าดารารัศมีและบิดาของท่านเดินเรื่องให้มาขึ้นกับทางสยาม และกลยุทธิ์ของอังกฤษในการปกครองก็คือเอาชนกลุ่มน้อยมาปกครองชนกลุ่มใหญ่ เพราะชนกลุ่มน้อยนั้นไม่กล้าหือกับตัวเองอยู่แล้ว แต่ผลเสียร้ายแรงก็คือ หลังจากที่อังกฤษออกไปแล้ว ดินแดนที่อังกฤษเคยปกครอง เกิดสงครามกลางเมืองแบบล้างผลาญเผ่าพันธุ์แทบจะทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย พม่า หรือหลายๆแห่งในแอฟริกา

7. ถ้าล้านนายังขึ้นอยู่กับพม่า ก็จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆในพม่า ก็คือผู้นำก็จะถูกฆ่าที่ปางโหลงพร้อมๆกับนายพลอองซานตอนที่นายพลเนวินปฏิวัติ และก็จะถูกล้างผลาญเผ่าพันธุ์แบบเดียวกับที่ไทยใหญ่ ว้า กระเหรี่ยง โดน ผู้ชายจะถูกเกณฑ์ไปขุดหลุมฝังเสาโทรศัพท์ให้ชินคอร์ป ผู้หญิงก็จะถูกข่มขืน และบางส่วนก็จะหนีมาเป็นแรงงานต่างชาติอยู่แถวๆสมุทรปราการ ปทุมธานี ไม่ได้มาเชิดหน้าชูตาในสังคมไทยแบบนี้

8. การฝันว่าล้านนาจะเป็นมหาอำนาจ เป็นแค่ฝันเปียกของคนโลกสวยแค่นั้นเอง เพราะโดยที่ตั้ง ทำเล ผู้คน เทคโนโลยีทางการทหาร การคุมกำลังคน รัฐศาสตร์ การค้า ล้านนาไม่มีทางจะสู้อาณาจักรใกล้ทะเลที่มีการจัดตั้งและเทคโนโลยีต่างๆดีกว่าอย่างสยาม พม่า หรือเวียดนามได้เลย

...เข้าใจหรือยังครับ? -_-


#282003 ไปดูพวกควายแดงมันนอยด์ครับ

โดย isa on 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555 - 22:34

มันปวดท้องขี้แล้วขี้เกียจลุกไปขี้ตอนดึกๆหรือเปล่า...ถึงได้กลิ่นไม่ดี =..=)


#262740 /////////////////////นักธุรกิจไต้หวันเค้ายังเชื่อมั่นในสเถียรภาพของรัฐบาลท่าน...

โดย isa on 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 - 15:16

ผมมีโอกาสได้ไปปาถคฐาให้นักธุรกิจชาวไต้หวันฟังนิดหน่อย เป็นกลุ่มเล็กๆหน่ะครับ ประมาณ 30 คน ผมก็พูดถึงภาพรวมของเศรษฐกิจไทย และโอกาสในการลงทุนต่างๆ พวกเค้าเชื่อมั่นในเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศไทย และสนใจมาลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ในไทยด้วยครับ หลังจากที่ 2 ปีที่แล้วเค้าค่อนข้างกังวลนิดหน่อย แต่ตอนนี้เค้าสบายใจแล้วครับ คนไต้หวันน่ารักมากครับ ประทับใจสุดๆ ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ


เค้าเขียนว่า "ปาฐกถา" ครับ ถ้าวิทยากรมาบรรยายงานบริษัทผมมาเขียนผิดๆถูกๆแบบนี้ ผมไล่กลับจริงเอ้า! :lol: