ที่ผมเลิกให้ราคานักคิดนักเขียนปีกซ้ายพวกมติชน ก็เพราะความคิดคับแคบมองอะไรเป็นจุดแคบๆกะลาครอบนี่แหละครับ...
การหาความสุขจากเซ็กส์นั้น มันเป็นเรื่องส่วนตัวก็จริง มันเป็นเรื่องง่ายๆแค่เอาอวัยวะส่วนหนึ่งไปแหย่ในอวัยวะของเพศตรงกันข้าม เท่านั้นเอง...แต่ที่มันมีความสำคัญขึ้นมา มันไปเกี่ยวพันกับสังคมและคนอื่นๆ ก็เพราะมันเป็นกระบวนการเดียวกับการสืบเผ่าพันธุ์ ไปจนถึงการสร้างสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นรากฐานของสังคมที่ใหญ่ขึ้น
ดังนั้นประเพณีการขอขมา การสู่ขอ การทำพิธีแสดงความผูกพันทางศาสนาหรือต่อหน้าสาธารณชนต่างๆ มันไม่ใช่ความกระแดะ แต่มันเป็นการแสดง Commitment ต่อสังคมว่า คนคู่นี้พร้อมแล้วที่จะสร้างความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ และพร้อมจะสร้างครอบครัว ซึ่งคำว่าครอบครัว มันไม่ได้จบแค่คนสองคน มันหมายรวมไปถึงการรับผิดชอบต่อสมาชิกอาวุโสในสถาบันครอบครัว การดูแลรับผิดชอบต่อสมาชิกรุ่นใหม่ๆที่จะเกิดมา และเป็นหน้าที่ต่อเนื่องชั่วชีวิต ซึ่งมันเป็นความสำคัญเกินกว่าที่จะเรียกว่า "ความกระแดะ" มันเป็นพัฒนาการของสังคมมนุษย์ที่ต่อยอดจาก SEX เพียวๆแบบสัตว์ และเป็นความรับผิดชอบที่สูงเอามากๆทั้งกับฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยเฉพาะกับคนที่ไม่พร้อม
และการมีเซ็กส์ในวัยที่ไม่พร้อมรับผิดชอบทั้งตัวเอง ทั้งผู้อื่น ผลก็คือมารหัวขนที่เกิดมา ถ้าไม่ตายเพราะโดนทำแท้ง ก็ถูกเอาไปทิ้งไว้กับพ่อแม่ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง เป็นรากหญ้ารุ่นใหม่ เป็นภาระสังคมต่อไป (พี่สาวผมเป็นครูที่พิจิตร คอนเฟิร์มมาว่ากรณีเด็กท้องในวัยเรียนมีเยอะมาก เด็กพวกนี้จะถูกทิ้งไว้กับปู่ย่า โดยเมื่อพ่อแม่เรียนจบไปก็ไปมีครอบครัวใหม่ ไม่ดูดำดูดีลูก และเด็กพวกนี้มีปัญหามาก เสี่ยงที่จะเสียคน และครูก็เจอปัญหาไม่สามารถติดตามผู้ปกครองมาดูแลแก้ไขปัญหาได้)
เวลาพูดถึงคำว่า "ฟรีเซ็กส์" คนไทยมักจะมั่วซั่วอ้างว่าเลียนแบบฝรั่ง แต่ถ้าจะเลียนแบบฝรั่งจริงๆ ต้องเลิกกระแดะดังต่อไปนี้ครับ
1. การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่ง เป็นคนละเรื่องกับ "การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร" ปัจจุบันเด็กไทยป.6 บางคนก็เริ่มมีเพศสัมพันธุ์กันแล้ว เด็กที่ออกมาตบแย่งผัวกันในคลิปส่วนใหญ่เป็นเด็กคอซอง แสดงว่ายังอยู่วัยม.ต้นแค่ 13-15 ปี
แม้ฝรั่งจะฟรีเซ็กส์ แต่ผมมั่นใจว่าเด็กที่มีเซ็กส์กันคือเด็กม.ปลายไปแล้ว และพร้อมจะออกจากครอบครัวไปรับผิดชอบตัวเอง เพราะกฎหมายมีเซ็กส์กับเยาวชนของฝรั่งนั้นเข้มงวดและแรงมาก ถึงเด็กจะแอบไปมีอะไรกันเอง แต่ถ้าผู้ปกครองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาเรื่องขึ้นมาก็เดือดร้อนถึงพ่อแม่ละครับ ดังนั้น ถ้าจะล่อกันตั้งแต่ม.1 ม.2 อย่าเอาฝรั่งมาอ้าง อันนี้ผมถือว่าเป็นความกระแดะข้อที่ 1
2. เด็กฝรั่งนั้น พอจบม.ปลายก็แยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง รับผิดชอบในการเรียนต่อเอง หรือทำมาหากินเอง แต่เด็กไทยขึ้นมหา’ลัย จนจะเรียนต่อโท ส่วนใหญ่ยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย เด็กรุ่นผม ถ้าใครริมีผัวมีเมียในวัยเรียน เขาเอาออกจากโรงเรียนเลยครับ ไม่ส่งเสียต่อ เพราะมีลูกเยอะ งบส่งเสียมีจำกัด ต้องเลือกเอาว่า ถ้าอยากมีผัวมีเมีย ก็เลิกเรียน จะได้เอาทุนไปให้คนที่เขาอยากจะเรียนจริงๆ การ "อยากจะล่อแต่ยังขอเงินพ่อแม่" อันนี้คือความกระแดะข้อที่ 2
3. ประเพณีสู่ขอเสียค่าสินสอดแพงๆ ขอเรือนหอ ของานแต่งหรูๆ เลิกได้แล้ว ถ้าอยากจะเลียนแบบฝรั่ง แหวนสวยๆสักวง งานปาร์ตี้ในครอบครัวแล้วจบก็พอ บ้านช่องก็ช่วยกันซื้อช่วยกันผ่อน ผู้หญิงผู้ชายเดี๋ยวนี้สิทธิเท่ากัน หน้าที่การงานไม่ได้ต่างกัน ถ้าต่างคนต่างผ่านผู้ชายผู้หญิงกันมาหลายคน ทำไมจะต้องไปเพิ่มภาระให้กับคนที่จะเป็นคนสุดท้ายในชีวิต ข้ออ้างว่าจะดูความมั่นคงของฝ่ายชายก็ไร้สาระ ถ้าคุณอยากดูความมั่นคง แค่ดูสลิปเงินเดือน กับแบงค์การันตีก็ได้ไม่ใช่หรือไง เวลาผมกู้ซื้อบ้าน ก็เห็นแบ๊งค์เค้าขอแค่นี้ก็พอ คุณขอค่าสินสอดแพงๆ จะรู้ได้ยังไงว่าผู้ชายไม่ได้กู้เขามาให้เป็นภาระกับครอบครัวสร้างใหม่ภายหลัง
ที่สำคัญ ผู้ชายอายุยังไม่ถึง 30 แต่ฝ่ายหญิงเรียกสินสอดรวมกันเป็นล้าน เด็กมันจะเอาเงินมาจากไหน ความเป็นไปได้ก็คือภาระก็จะไปตกกับครอบครัวฝ่ายชายอีกนั่นแหละ และคุณรู้ไหม สังคมไทยกำลังจะเป็นสังคมอาวุโส คนชั้นกลางระดับพนักงานบ.เอกชน นอกจากมีภาระต้องส่งเสียลูกแล้ว ยังต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ดูแลตัวเองยามแก่เฒ่า เพราะลูกเต้าไม่มีปัญญามาดูแล คุณจะรู้ได้ยังไงว่าเงินก้อนที่ฝ่ายชายเอามาสู่ขอลูกสาวคุณ จะไม่ใช่เงินก้อนสุดท้ายในชีวิตของพ่อผัวแม่ผัวที่เขาจะเก็บเอาไว้ใช้ยามเกษียณ (ผมเห็นมาหลายรายแล้ว สลดมาก) อันนี้คือความกระแดะข้อที่ 3
ลองพิจารณาดูครับ...
- Huligan and อู๋ ฮานามิ like this