Jump to content


isa

Member Since 13 October 08
Offline Last Active 16 May 14 14:07
-----

#931923 คุณลูกอลัชชีฯยังอ่านบอร์ดนี้อยู่มั้ยครับ?ผมอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมบาง...

Posted by isa on 28 November 2013 - 15:10

ที่ผมเลิกให้ราคานักคิดนักเขียนปีกซ้ายพวกมติชน ก็เพราะความคิดคับแคบมองอะไรเป็นจุดแคบๆกะลาครอบนี่แหละครับ...

 

การหาความสุขจากเซ็กส์นั้น มันเป็นเรื่องส่วนตัวก็จริง มันเป็นเรื่องง่ายๆแค่เอาอวัยวะส่วนหนึ่งไปแหย่ในอวัยวะของเพศตรงกันข้าม เท่านั้นเอง...แต่ที่มันมีความสำคัญขึ้นมา มันไปเกี่ยวพันกับสังคมและคนอื่นๆ ก็เพราะมันเป็นกระบวนการเดียวกับการสืบเผ่าพันธุ์ ไปจนถึงการสร้างสถาบันครอบครัวซึ่งเป็นรากฐานของสังคมที่ใหญ่ขึ้น

 

ดังนั้นประเพณีการขอขมา การสู่ขอ การทำพิธีแสดงความผูกพันทางศาสนาหรือต่อหน้าสาธารณชนต่างๆ มันไม่ใช่ความกระแดะ แต่มันเป็นการแสดง Commitment ต่อสังคมว่า คนคู่นี้พร้อมแล้วที่จะสร้างความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ และพร้อมจะสร้างครอบครัว ซึ่งคำว่าครอบครัว มันไม่ได้จบแค่คนสองคน มันหมายรวมไปถึงการรับผิดชอบต่อสมาชิกอาวุโสในสถาบันครอบครัว การดูแลรับผิดชอบต่อสมาชิกรุ่นใหม่ๆที่จะเกิดมา และเป็นหน้าที่ต่อเนื่องชั่วชีวิต ซึ่งมันเป็นความสำคัญเกินกว่าที่จะเรียกว่า "ความกระแดะ" มันเป็นพัฒนาการของสังคมมนุษย์ที่ต่อยอดจาก SEX เพียวๆแบบสัตว์ และเป็นความรับผิดชอบที่สูงเอามากๆทั้งกับฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยเฉพาะกับคนที่ไม่พร้อม

 

และการมีเซ็กส์ในวัยที่ไม่พร้อมรับผิดชอบทั้งตัวเอง ทั้งผู้อื่น ผลก็คือมารหัวขนที่เกิดมา ถ้าไม่ตายเพราะโดนทำแท้ง ก็ถูกเอาไปทิ้งไว้กับพ่อแม่ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง เป็นรากหญ้ารุ่นใหม่ เป็นภาระสังคมต่อไป (พี่สาวผมเป็นครูที่พิจิตร คอนเฟิร์มมาว่ากรณีเด็กท้องในวัยเรียนมีเยอะมาก เด็กพวกนี้จะถูกทิ้งไว้กับปู่ย่า โดยเมื่อพ่อแม่เรียนจบไปก็ไปมีครอบครัวใหม่ ไม่ดูดำดูดีลูก และเด็กพวกนี้มีปัญหามาก เสี่ยงที่จะเสียคน และครูก็เจอปัญหาไม่สามารถติดตามผู้ปกครองมาดูแลแก้ไขปัญหาได้)

 

เวลาพูดถึงคำว่า "ฟรีเซ็กส์" คนไทยมักจะมั่วซั่วอ้างว่าเลียนแบบฝรั่ง แต่ถ้าจะเลียนแบบฝรั่งจริงๆ ต้องเลิกกระแดะดังต่อไปนี้ครับ

 

1. การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่ง เป็นคนละเรื่องกับ "การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร" ปัจจุบันเด็กไทยป.6 บางคนก็เริ่มมีเพศสัมพันธุ์กันแล้ว เด็กที่ออกมาตบแย่งผัวกันในคลิปส่วนใหญ่เป็นเด็กคอซอง แสดงว่ายังอยู่วัยม.ต้นแค่ 13-15 ปี

แม้ฝรั่งจะฟรีเซ็กส์ แต่ผมมั่นใจว่าเด็กที่มีเซ็กส์กันคือเด็กม.ปลายไปแล้ว และพร้อมจะออกจากครอบครัวไปรับผิดชอบตัวเอง เพราะกฎหมายมีเซ็กส์กับเยาวชนของฝรั่งนั้นเข้มงวดและแรงมาก ถึงเด็กจะแอบไปมีอะไรกันเอง แต่ถ้าผู้ปกครองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาเรื่องขึ้นมาก็เดือดร้อนถึงพ่อแม่ละครับ ดังนั้น ถ้าจะล่อกันตั้งแต่ม.1 ม.2 อย่าเอาฝรั่งมาอ้าง อันนี้ผมถือว่าเป็นความกระแดะข้อที่ 1

 

2. เด็กฝรั่งนั้น พอจบม.ปลายก็แยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง รับผิดชอบในการเรียนต่อเอง หรือทำมาหากินเอง แต่เด็กไทยขึ้นมหา’ลัย จนจะเรียนต่อโท ส่วนใหญ่ยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย เด็กรุ่นผม ถ้าใครริมีผัวมีเมียในวัยเรียน เขาเอาออกจากโรงเรียนเลยครับ ไม่ส่งเสียต่อ เพราะมีลูกเยอะ งบส่งเสียมีจำกัด ต้องเลือกเอาว่า ถ้าอยากมีผัวมีเมีย ก็เลิกเรียน จะได้เอาทุนไปให้คนที่เขาอยากจะเรียนจริงๆ  การ "อยากจะล่อแต่ยังขอเงินพ่อแม่" อันนี้คือความกระแดะข้อที่ 2

 

3. ประเพณีสู่ขอเสียค่าสินสอดแพงๆ ขอเรือนหอ ของานแต่งหรูๆ เลิกได้แล้ว ถ้าอยากจะเลียนแบบฝรั่ง แหวนสวยๆสักวง งานปาร์ตี้ในครอบครัวแล้วจบก็พอ บ้านช่องก็ช่วยกันซื้อช่วยกันผ่อน ผู้หญิงผู้ชายเดี๋ยวนี้สิทธิเท่ากัน หน้าที่การงานไม่ได้ต่างกัน ถ้าต่างคนต่างผ่านผู้ชายผู้หญิงกันมาหลายคน ทำไมจะต้องไปเพิ่มภาระให้กับคนที่จะเป็นคนสุดท้ายในชีวิต  ข้ออ้างว่าจะดูความมั่นคงของฝ่ายชายก็ไร้สาระ ถ้าคุณอยากดูความมั่นคง แค่ดูสลิปเงินเดือน กับแบงค์การันตีก็ได้ไม่ใช่หรือไง เวลาผมกู้ซื้อบ้าน ก็เห็นแบ๊งค์เค้าขอแค่นี้ก็พอ คุณขอค่าสินสอดแพงๆ จะรู้ได้ยังไงว่าผู้ชายไม่ได้กู้เขามาให้เป็นภาระกับครอบครัวสร้างใหม่ภายหลัง

 

ที่สำคัญ ผู้ชายอายุยังไม่ถึง 30 แต่ฝ่ายหญิงเรียกสินสอดรวมกันเป็นล้าน เด็กมันจะเอาเงินมาจากไหน ความเป็นไปได้ก็คือภาระก็จะไปตกกับครอบครัวฝ่ายชายอีกนั่นแหละ และคุณรู้ไหม สังคมไทยกำลังจะเป็นสังคมอาวุโส คนชั้นกลางระดับพนักงานบ.เอกชน นอกจากมีภาระต้องส่งเสียลูกแล้ว ยังต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ดูแลตัวเองยามแก่เฒ่า เพราะลูกเต้าไม่มีปัญญามาดูแล คุณจะรู้ได้ยังไงว่าเงินก้อนที่ฝ่ายชายเอามาสู่ขอลูกสาวคุณ จะไม่ใช่เงินก้อนสุดท้ายในชีวิตของพ่อผัวแม่ผัวที่เขาจะเก็บเอาไว้ใช้ยามเกษียณ (ผมเห็นมาหลายรายแล้ว สลดมาก) อันนี้คือความกระแดะข้อที่ 3

 

ลองพิจารณาดูครับ...




#929623 คุณลูกอลัชชีฯยังอ่านบอร์ดนี้อยู่มั้ยครับ?ผมอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมบาง...

Posted by isa on 27 November 2013 - 16:27

ในแง่ความคิดแบบนี้ของนักเขียนมติชน ทั้งสุจิตต์ ทั้งคำผกา ทั้งนายนิธิ ที่โจมตีแนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ ผมว่าบางทีพวกพี่แกก็สุดโต่งไปอีกแบบครับ ที่ดูแค่วัฒนธรรมลาว มาผสมกับวัฒนธรรมฝรั่ง แล้วเอามาตัดสินวัฒนธรรมไทยโดยรวม และพูดเหมือนส่งเสริมให้เด็กมีอะไรๆกันได้โดยเสรี ผมก็ว่ามันเกินไป และก่อปัญหาในอนาคตด้วย

 

เรื่องของพรหมจรรย์นั้น ในความคิดของผม มันสำคัญหรือไม่สำคัญเกี่ยวอยู่กับปัจจัย 2 สิ่ง

1. แรงกระตุ้นของธรรมชาติในการสืบพันธุ์และการรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเอง ซึ่งก็คือการพยายามให้ DNA ของตัวเองได้สืบทอดต่อไปนั่นเอง

2. และจะถูกตัดทอนเลือกสรรด้วยปัจจัยที่สองก็คือ ทรัพยากรและปัจจัยในการผลิต อยู่ในกำมือฝ่ายชาย หรือฝ่ายหญิง

 

ข้อแรกก็คือ สิ่งมีชีวิตที่มีปัจจัยจำกัดในการสืบเผ่าพันธุ์ ก็จะพยายามทุกทางในการสืบต่อพันธุ์ เลี้ยงดู และสงวนเฉพาะพันธุ์ของตัวเอง อันนี้เป็นสัญชาติญาณพื้นฐาน ของสิ่งมีชีวิตทุกประเภท บางชนิดไปถึงขั้นสุดโต่ง อย่างเช่น สิงโต เมื่อครอบครองฝูงแล้ว จะฆ่าลูกของตัวผู้ตัวเก่าจนหมดเพื่อให้มีเฉพาะลูกแท้ๆของตัวเองสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป ขั้นต่ำก็คือละเลยไม่สนใจลูกเลี้ยงเท่ากับลูกตัวเอง

 

ในส่วนของมนุษย์เองก็สะท้อนภาพออกมาในแง่ที่ คนที่เป็นแม่หม้ายหรือพ่อหม้ายลูกติด ก็จะมีปัญหาในการหาคู่ใหม่ยากขึ้น หรือในครอบครัวระดับล่าง ก็จะมีปัญหาเรื่องลูกถูกเลี้ยงดูทิ้งๆขว้างๆ แม้กระทั่งถูกทำร้าย หรือลวนลามทางเพศ  โดยสัญชาตญาณของแม่นั้นไม่ว่าพ่อจะเป็นใคร ลูกก็ต้องเป็นลูกของแม่อยู่ดี แต่ในแง่ของเพศชาย การเอาทรัพยากรของตัวเองไปเลี้ยงดูเชื้อสายของคนอื่นซึ่งไม่ใช่ลูกตัวเอง ถือเป็นความสูญเปล่าในแง่ชีววิทยา จึงได้มีคำพูดหลายๆอย่างที่สะท้อนเรื่องนี้ อย่างเช่น "เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม ฯลฯ"  ในส่วนของฝรั่งเอง เขาเลยต้องแก้ปัญหาโดยให้พ่อแม่เดิมของลูกต้องร่วมกันดูแล แม้จะหย่าขาดกันไปแล้วก็ตาม และมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาช่วยดูแล ตลอดจนช่วยเรื่องการศึกษาระดับต้นไม่ให้เป็นภาระของพ่อแม่ ทำให้พ่อใหม่ หรือแม่ใหม่ไม่ต้องเจอภาระมากในการเลี้ยงดูลูกเลี้ยง การตัดสินใจแต่งงานใหม่จึงมีได้ง่ายขึ้น

 

ข้อที่สองก็คือ ทรัพยากรและปัจจัยผลิตอยู่ในมือใคร

หากปัจจัยผลิตและทรัพยากรอยู่ในมือฝ่ายหญิง ไม่ว่าในวัฒนธรรมไหนๆ อย่างในวัฒนธรรมชนเผ่า หรือแม้แต่ในไพร่ไทยหรือลาว ซึ่งนิยมการแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง ผู้ชายแทบจะไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติ หรือในยุคก่อนที่เลี้ยงลูกแบบปล่อย และการมีลูกเยอะๆจะช่วยเป็นแรงงานในสังคมเกษตรกรรม การที่ผู้หญิงจะมีลูกติด หรือมีลูกติดท้อง ย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในสังคมนั้น

 

แต่ตรงกันข้าม ในวัฒนธรรมที่ปัจจัยการผลิตอยู่ในมือฝ่ายชาย อย่างสังคมจีน เราจะพบการคุมเข้มเรื่องพรหมจรรย์ ชนิดต้องเอาผ้าขาวรองใต้ก้นเจ้าสาวเพื่อดูเลือดเปิดบริสุทธิ์คืนแต่งงานกันเลย บางคนไปสับสนกับค่านิยมพวกเถ้าแก่นิยมเปิดบริสุทธิ์สาวพรหมจรรย์เพื่ออายุวัฒนะ อันนั้นมันคนละเรื่องกันครับ

 

สังคมจีนนั้นสืบทอดสมบัติทางฝ่ายชาย ผู้ชายเป็นคนหารายได้เข้าครอบครัว และยึดถือเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นหลักใหญ่ และในยุคก่อน ไม่มียาคุม ไม่มีถุงยาง ไม่มีแท่งทดสอบการท้อง ลองนึกดูก็แล้วกันว่าถ้าเกิดมีมารหัวขนแอบท้องเจ้าสาวเข้าไป แล้วมาแดงเอาตอนที่โตขึ้นมาแล้วหน้าไม่เหมือนแม่นี่ จะเป็นสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนทั้งกับตัวเด็ก กับแม่ และกับพ่อแค่ไหน เด็กจะกตัญญูกับพ่อคนไหน พ่อแท้มันจะหาประโยชน์โดยการไถลูกกินไหม แล้วมันจะอาศัยอยู่กับครอบครัวฝ่ายพ่อเลี้ยงที่เป็นกงสียังไง ในสภาพไหน แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว

 

ในสังคมคนไทยที่เป็นเจ้าคนนายคน มีสมบัติสืบทอดกันทางฝ่ายชายก็คงไม่ต่างกัน ตำแหน่ง ยศ บางอย่าง สืบทอดกันทางสายเลือดได้ ถ้าเกิดมีลูกหลงเข้าไปอยู่ในท้องคุณนาย กลายเป็นพี่คนโตในตระกูลนี่ก็คงป่วนกันใหญ่แน่

 

เพราะงั้น มันไม่ใช่เรื่องของสังคมวิคตอเรีย แต่ขึ้นอยู่กับจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ในการถือครองทรัพย์สมบัติ ทรัพยากร และปัจจัยการผลิตที่สืบทอดกันได้จากรุ่นสู่รุ่นมากกว่า...

 

ในปัจจุบัน การถือครองทรัพยากรชายหญิงในสังคมไทยก็มีรูปแบบหลากหลาย แต่โดยทั่วไปถ้าเป็นคนชั้นกลาง ผุ้หญิงแม้จะมีปัจจัยผลิตกับตัว แต่ก็คาดหวังทรัพยสมบัติและปัจจัยผลิตของฝ่ายชายด้วยส่วนหนึ่ง นั่นก็ส่งผลสำคัญต่อการเลือกคู่และการตั้งครรภ์อยู่ไม่น้อย (ไม่งั้นคงไม่มีการพยายามจับคนดังโดยการใช้ DNA บนใบหน้ากระมัง)

 

และการส่งเสริมกลายๆให้มีสัมพันธ์ุทางเพศโดยเสรี ยุคนี้ แม้จะมียาคุม มีถุงยางแล้วก็เถอะ ในระดับรากหญ้า การมีเพศสัมพันธุ์กันโดยไม่ระมัดระวัง ก็ทำให้โรคเอดส์ ย้ายมาอยู่ในหมู่เด็กวัยเรียน ทำให้เกิดรากหญ้ารุ่นใหม่ๆ เพราะพ่อแม่ได้เสียกันในวัยเรียน ไม่มีปัญญาดูแลลูก เด็กถูกทอดทิ้งอยู่กับปุ่ย่า หรือตายาย หรือแม้ในชนชั้นกลาง ค่าเลี้ยงดูและค่าการศึกษาที่สูงขึ้น ก็จะทำให้คุณแม่ลูกติดมีปัญหามากขึ้นที่จะหาคู่ใหม่ ยังไม่พูดถึงการทำแท้ง และปัญหาอื่นๆอีก จนกล่าวกันว่าเมืองไทย เด็กมีเพศสัมพันธ์เร็วเป็นอันดับหนึ่งของโลก ทำแท้งเป็นอันดับสองของโลกไปแล้ว

 

และแม้ในปัจจุบันที่การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว อย่าลืมว่าสังคมไทย และผู้หญิงไทยก็ยังคาดหวังให้ผู้ชายคนสุดท้าย จ่ายสินสอด ทองหมั้น เรือนหอ ค่าแต่งงาน รวมๆเป็นหลักล้าน รวมถึงเงินเดือนทั้งเดือนของสามี และก็เริ่มมีเสียงทักท้วงมาจากผู้ชายรุ่นใหม่ๆแล้วนะครับ เป็นไปได้ว่าในอนาคต งานแต่งงานก็จะจบแค่แหวนหนึ่งวง กับปาร์ตี้เล็กๆแบบฝรั่ง และเงินใช้จ่ายรายเดือนก้อนหนึ่งเท่านั้นแหละ




#926534 เมื่อวานดูทีวีเสื้อแดง คนเสื้อแดง sms มาถามว่าระบอบทักษิณคืออะไร ชาวเสรีช่วยใ...

Posted by isa on 26 November 2013 - 15:19

สรุปสั้นๆ  :  ระบอบทักษิณคือเผด็จการเบ็ดเสร็จโดยนายทุนเลวๆ โดยการใช้อำนาจเงินและนโยบายประชานิยมเพื่อเอาชนะเลือกตั้ง  จากนั้นใช้อำนาจในรัฐบาลและรัฐสภาที่ได้มาจากการได้เสียงข้างมากครอบงำทุกภาคส่วนของประเทศแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อออกนโยบายและกฎหมายเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง  โดยไม่ใส่ใจต่อความเสียหายของประเทศชาติ ตลอดจนความแตกแยก และความเดือดร้อนของประชาชน

 

...พอใช้ได้ไหมครับ




#923871 ไทยสามารถใช้การแบ่งเขตการปกครองเหมือนอเมริกาได้หรือไม่

Posted by isa on 25 November 2013 - 17:53

จริงๆแล้วผมชอบแนวความคิดของการแยกเป็นมลฑลหรือมลรัฐกันบริหารนะครับ

 

แต่ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณท้องถิ่น แต่ให้รัฐจัดงบประมาณประจำปีเฉลี่ยลงไปเท่าจำนวนหัวประขากรเป็นงบกลางเท่าๆกันในทุกรัฐ หรืออาจแตกต่างกันบ้างตามเปอร์เซ็นต์จำนวนหัวประชากร แล้วให้ไปบริหารกันเอง ถ้าบริหารชุ่ยๆก็เดือดร้อนกันเอง

 

เพราะรู้สึกว่าตอนนี้กลายเป็นว่างบประมาณส่วนกลางของประเทศถูกนักการเมืองดึงลงไปท้องถิ่นของตัวเองกันซะเยอะ จนบางท้องที่สำลัก อย่างบางแห่งที่สำนักงานอบต.ใหญ่เท่าศาลจังหวัด ขณะที่ที่ทำการเทศบาลปากพนังบ้านเกิดผม จะสี่สิบปีเข้าไปแล้ว เห็นรูปในกูเกิ้ลก็ยังเป็นตึกเก่าๆชั้นเดียวโทรมๆเหมือนเดิม

 

ขออภัยที่ต้องบอกว่าผมเบื่อภาคอีสานอยู่อย่างตรงดราม่าจัด จริงๆแล้วถ้าเทียบกันแล้วคนอีสานปัจจุบันไม่ได้ยากจนนะครับ ถ้าเทียบกับภาคอื่นๆ ที่มองว่ายากจนเพราะคนส่วนใหญ่ชอบเอาคุณภาพชีวิตมาเทียบกับคนกรุงเทพฯต่างหากล่ะ มันคนละเรื่องกัน เอามาเทียบกันได้เสียเมื่อไหร่ ถ้าจะเทียบคนชนบท ก็ควรจะเทียบกับคนในชนบทภาคอื่นๆถึงจะเหมาะสม

 

ภาคอีสานนั้นมีลักษณะเฉพาะ อย่างอ.ณรงค์ (ขออภัย ผมจำนามสกุลท่านไม่ได้) ท่านบอกว่าคนอีสานรากหญ้านั้น รายได้มาจากการเกษตรแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่อีก 60 มาจากเงินค่าจ้างแรงงานที่ลูกหลานส่งมาให้เป็นรายเดือน นั่นก็คือ "นอกจากผลิตผลทางการเกษตรแล้ว รากหญ้าอีสานมีเงินเดือนด้วย!" และแรงงานอีสานนั้น ไม่ได้ทำงานแค่ในกรุงฯ แต่ไปถึงตลาดแรงงานต่างประเทศ ส่วนใหญ่ 80-90% เป็นแรงงานอีสาน ยังไม่นับถึงเงินจากลูกเขยฝรั่ง เงินที่สะพัดลงท้องถิ่นช่วงเทศกาล เงินทำบุญที่ไหลจากภาคอื่นๆลงไปสู่วัดพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง มหาศาลอ่ะครับ ถ้าเทียบกับภาคอื่นๆ มีแต่เมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตหรือพังงา กระบี่ เท่านั้นแหละครับที่จะมีรายได้เข้าเยอะๆ จังหวัดอื่นๆเขาก็เงียบๆ เศรษฐกิจพอเพียงกันเป็นส่วนใหญ่ ใครที่อยู่ภาคเกษตรก็มีรายได้ภาคเกษตรเป็นฤดูกาลหรือรายปีกันตามปกติ

 

แต่คำถามก็คือ เงินมหาศาลเหล่านี้ หายไปไหน!? ปัญหานี้นักวิชาการอีสานส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงที่จะตอบหรือจะรับรู้?

 

...คำตอบก็คือคนอีสานรากหญ้าส่วนใหญ่ที่ผมเคยคลุกคลีด้วยเป็นพวกสุขนิยม และวินัยการเงินต่ำ ได้มาก็จ่ายไป หมดก็หาเอาใหม่ และรับอิทธิพลบันเทิงมาปรับเป็นของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นอิทธิพลบริโภคนิยมของเมืองจะเข้าถึงอีสานรากหญ้าอย่างรวดเร็ว ลองดูพวกหมูกะทะ หรืออะไรพวกนี้สิครับ อะไรที่กรุงเทพฯมี อีสานต้องมี แต่ในเวอร์ชั่นที่แตกต่าง ขณะที่คุณจะพบลักษณะนี้น้อยมากในคนชนบทภาคใต้หรือภาคเหนือ หรือแม้แต่ภาคกลางด้วยกันก็เถอะ

 

... ดังนั้นคำตอบเรื่องเศรษฐกิจของภาคอีสาน ไม่ได้อยู่ที่รายได้ แต่อยู่ที่พรบ.ออมเงินแห่งชาติที่ประชาธิปัตย์พยายามจะเสนอแต่ถูกตีตกไปในสมัยเพื่อไทยนั่นแหละครับ




#923655 มาเกาะติด "แดง" กันบ้างครับ

Posted by isa on 25 November 2013 - 16:23

 

fNHvmo.jpg

 

 

ไม่รู้จะสงสารหรือสมเพชดี 

 

โหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหห

 

เยอะมากครับ เยอะจริง ๆ ๆ ครับ เก้าอี้ในสนามนะครับ เยอะจริง ๆ

 

ส่วนคนนี้ ผมไม่ขอพูดดีกว่า เด๋วหาว่า ผมจับผิดหยุมหยิม 

 

ไม่แน่เค้าอาจจะอยู่หลังกล้องเป็นล้านก้อได้ครับ

 

^_^

 

ทหารม้าเพียบเลยครับ

แสดงว่าเสื้อแดงมีกองทัพสนับสนุนสิเนี่ย

 

:wacko:




#922565 ไล่ไป ก็เลือกมาใหม่ เราจะทำยังไงให้พี่น้อง ที่ถูกตระกูล ชิน สะกดจิตตื่น......

Posted by isa on 25 November 2013 - 11:19

ผมว่ายากครับ คะแนนเสียงจากรากหญ้าน่าจะมี 3 ปัจจัย

 

1. ศรัทธาในตัวทักษิณ - อันนี้ช่วงต้นๆมีมากมาย ถึงขนาดที่ว่าชื่อทักษิณเอามาขายได้ จนต้องออกแคมเปญ "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" แต่หลังจากนโยบายที่ผิดพลาดหลายๆอย่าง ปัจจัยนี้ก็น่าจะง่อนแง่นไปเยอะ ยิ่งถ้ามีการเปิดโปงให้ถึงกึ๋นจริงๆ คะแนนเสียงจากปัจจัยนี้จะหายไปอีก

 

2. ความเชื่อถือในแบรนด์เพื่อไทยและความเกลียดชังในแบรนด์ประชาธิปัตย์ - อันนี้เป็นเรื่องของการตลาดล้วนๆ เพื่อไทยโดนยุบพรรคไปตั้งหลายหน แต่ยังกลับมาได้ในขวดใหม่ แต่ประชาธิปัตย์นั้นโดนทำลายแบรนด์ในกลุ่มรากหญ้าไปเยอะ ดังนั้นส่วนนี้ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญอยู่ อย่างน้อยที่สุด รากหญ้าก็จะไม่เลือกประชาธิปัตย์ที่เป็นแบรนด์ี่ต่างด้าว และตัวเองไม่ไว้ใจ ...ต้องมีแบรนด์ท้องถิ่นใหม่มาให้เลือกแทน

 

3. ความจงรักภักดีต่อตัวส.ส.  อันนี้ก็สำคัญมาก เพราะชาวบ้านในท้องถิ่น รับข่าวจากสื่อหลัก ไม่สนใจโลกภายนอกเท่าไหร่หรอกครับ แต่สส.ที่ขยันลงพื้นที่ ช่วยเหลือฐานเสียง ดึงงบพัฒนาลงท้องที่ได้ ก็จะมีคะแนนเสียงผูกพันกับตัวเองอยู่เยอะ และผมค่อนข้างจะเชื่อว่าสส.เพื่อไทยส่วนใหญ่รักษาคะแนนตรงนี้ไว้ดี คนที่ทำเสียคือเจ้าของพรรคกับกรรมการพรรค และพวกทีมบริหารต่างหาก ดังนั้นการที่สส.ภายนอกจะเจาะพื้นที่เข้าไปได้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย

 

ดังนั้นเรื่องที่สำคัญก็คือ การเพิ่มความเข้มข้นและชอบธรรมของกระบวนการตรวจสอบ และทำลายการโฆษณาชวนเชื่อของเพื่อไทยที่ไม่ว่าจะใช้สื่อ ใช้นักวิชาการลวงโลก ออกมาทำลายความชอบธรรมของกระบวนการตรวจสอบ ผมว่าเอาตรงนี้เป็นปัญหาเฉพาะหน้า จัดการกับพวกวอเจด พวกสื่อเทียม ให้พ่ายแพ้ไปก่อน ทำความเข้าใจกับรากหญ้าเรื่องของกระบวนการตรวจสอบและการเอาผิดกรณีคอรัปชั่น

 

ให้อิสระกับรากหญ้าอย่างเต็มที่ แต่ทำความเข้าใจก่อนว่า ถ้าคนที่คุณเลือกเข้ามาโกงกิน ทุจริต จะต้องถูกฟ้องร้องและเอาออก คุณจะต้องยอมรับในจุดนี้ ไม่ใช่ออกมาเป็นโล่ให้กับคนโกงแบบทุกวันนี้ ผมว่าจะง่ายกว่าการไปเปลี่ยนแปลงกระบวนการความคิดของการมีส่วนร่วมกับการเมืองในการเลือกตั้งนะครับ  -_-




#922518 ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเลือก พรรคเพื่อไทย ผมก็มีเหตุผลเดียวครับ

Posted by isa on 25 November 2013 - 10:56

จริงๆแล้วคนที่เลือกเพื่อไทยก็มีเหตุผลของเขานะครับ

 

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมไปทอดกฐินแถวอีสาน ถนนหนทางบ้านเขาดีจริงๆ แม้แต่ถนนผ่านตำบล ยังดีกว่าถนนบางนา-ตราดเสียอีก ที่ทำงานอบต.บางพื้นที่ 4 ชั้นใหญ่โตอย่างกับศาลจังหวัดแถวปักษ์ใต้ แสดงให้เห็นว่าสส.ของเพื่อไทยลงพื้นที่จริงๆ แล้วก็ดึงงบลงพื้นที่จริงๆ แล้วก็เป็นที่พึ่งให้กับฐานเสียงได้จริงๆ คือมีผลงานให้เห็นในระดับท้องถิ่น

 

และชาวบ้านรากหญ้าในระดับท้องถิ่น สายตาของเขามองเห็นแค่ความเจริญในท้องถิ่น เขาไม่ได้มองออกมาไกลออกมาถึงระดับประเทศหรอกครับ ดังนั้นภาพที่เขาเห็นก็จะเป็นคนละภาพกับเรา ถ้าเพื่อไทยไม่ออกนโยบายชุ่ยๆอย่างค่าแรง 300 บาทให้ลูกหลานเค้าตกงาน หรือจำนำข้าวที่ Fail จนชาวบ้านไม่ได้รับเงิน ชาวบ้านเขาก็ไม่รู้หรอกว่าพรรคที่เขาเลือกก่อความเสียหายให้กับระดับประเทศยังไง ยิ่งสื่อหลักถูกปิดหูปิดตาด้วยแล้ว

 

การเมืองของประชาธิปัตย์นั้นเป็นการเมืองของคนชั้นกลางซึ่งอาศัยการพึ่งพาตัวเอง ไม่ต้องการพึ่งพาสส. ซึ่งผมเคยพูดจนปากจะฉีกแล้วว่าประชาธิปัตย์บุกอีสานไม่สำเร็จหรอก เพราะการเมืองมันคนละแบบกัน อย่าไปติดภาพในยุคเก่าๆสมัยที่สุทัศน์ เงินหมื่นยังอยู่ เพราะในยุคโน้น คนที่สนใจการเมืองและใช้สิทธิ์เลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง (แม้จะเป็นคนอีสานก็เถอะ) แต่คนอีสานที่ใช้สิทธิ์ในยุคนี้เป็นรากหญ้าที่ต้องการการเมืองที่สนองความต้องการของเขาได้

 

บางทีเราไปมองว่ารากหญ้าถูกซื้อเสียง แต่ลืมคิดไปว่าการเมืองของรากหญ้านั้นคือการเมืองแบบอุปถัมภ์ ซึ่งนักการเมืองแบบเพื่อไทยสนองตอบเขาได้ แต่ประชาธิปัตย์ทำไม่ได้ เพราะหากทำ ก็จะกลายเป็นว่าพรรคมีการทำงานแบบสองมาตรฐาน กับคนชั้นกลางแบบหนึ่ง แต่กับคนชั้นล่างอีกแบบ  และการมองรากหญ้าว่าหิวเงิน เห็นแก่ตัว บางครั้งมันจะยิ่งทำให้สังคมแตกแยกหนักยิ่งขึ้น

 

ผมไม่คิดว่าจะเป็นความผิดของรากหญ้า หรือความผิดของสส.เพื่อไทยที่ต้องเป็นแบบนี้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของการเมืองอุปถัมภ์แบบรากหญ้า การที่เพื่อไทยชนะเลือกตั้งตลอด ก็แสดงว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังติดกับอยู่กับความเป็นรากหญ้าแบบอุปถัมภ์ (แม้ว่าฐานะบางคนควรจะเป็นคนชั้นกลางแล้วก็ตาม) การแก้จิตสำนึกรากหญ้านั้นยากและต้องใช้เวลา แต่ปัญหาเฉพาะหน้าที่เราพอจะแก้ได้ในตอนนี้ก็คือแก้ปัญหาเรื่องนักการเมืองคอรัปชั่น และการสื่อความหมายประชาธิปไตยแบบผิดๆ ตลอดจนการควบคุมตรวจสอบและเอาผิดนักการเมืองอย่างเข้มข้นให้ได้เท่านั้นแหละครับ 




#900151 {กระทู้ขอความรู้} ใครพอรู้เรื่องโครงการเงินกู้มิยาซาว่าบ้างครับ มัน...

Posted by isa on 11 November 2013 - 10:10

เรื่องของเงินกู้มิยาซาว่า ผมถือว่าเป็นความด้อยความรู้อย่างน่าตำหนิของคอลัมน์นิสต์และสื่อมวลชนไทยซึ่งปัจจุบันหลายๆคนผันตัวเองไปเป็นเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ครับ คือถ้าเป็นคนทั่วไปไม่รู้ก็ยังพอว่า แต่คนเป็นสื่อซึ่งมีหน้าที่ต้องชี้นำและให้ความรู้ต่อสังคมดันไม่รู้นี่มัน Fail สุดๆแล้วล่ะครับ

 

ปัญหาของประเทศไทยในช่วงปี 40 ก็คือขาดการหมุนเวียนของกระแสเงินสดอย่างหนัก เนื่องจากส่วนหนึ่ง เอาเงินกองทุนสำรองของประเทศไปต่อสู้แพ้ในศึกต่อสู้ปกป้องค่าเงินบาท (หลายๆท่านอาจจะให้ข้อมูลตรงนี้ได้ดีกว่าผม) อีกส่วนเกิดจากการลดค่าเงินบาทชนิดปุบปับ ทำให้ค่าเงินบาทรูดจากประมาณ 25 บาท ลงไปอยู่ที่ราวๆ 50 บาท ซึ่งตอนนั้นภาคธุรกิจไทยกำลังกู้เงินดอกเบี้ยต่ำของประเทศมาปล่อยกู้ต่อหรือไม่ก็ขยายกิจการกันอย่างสนุกสนาน จึงเป็นหนี้กันทั้งประเทศ ผลก็คือ หนี้เพิ่มเป็นเท่าตัวภายในชั่วข้ามคืน ยังไม่นับดอกที่เพิ่มเท่าตัวเช่นกัน

 

ลองนึกภาพง่ายๆ สมมุติว่าคุณกู้เงินมา 1 ล้านเหรียญ จ่ายดอกเบี้ยที่ 3 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับหนี้ปัจจุบันของคุณเป็น 1 ล้าน 3 หมื่นเหรียญ หรือถ้าคิดอัตราเงินไทยด้วยค่าแลกเปลี่ยนตอนนั้นก็คือ 25 ล้านบาท บวกด้วยดอกเบี้ย 7 แสนห้าหมื่นบาท แต่พอค่าเงินบาทตกปุ๊บ หนี้คุณกลายเป็น 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย 1.5 ล้านบาททันที ทั้งๆที่หนี้ต่างประเทศยังเป็น 1 ล้านเหรียญเท่าเก่า พอเห็นภาพมั้ยครับ

 

ผลก็คือเบื้องต้น เงินบาทไทยถูกสูบออกจากระบบเพื่อจ่ายหนี้ต่างประเทศ อีกส่วนหนึ่งก็คือธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆได้รับผลกระทบ ถูกยุบไปบ้าง ถูกสั่งเพิ่มทุนบ้าง ซึ่งกระทบต่อการปล่อยกู้ และเมื่อไม่มีเงินกู้จากธนาคาร บริษัทต่างๆก็เจ๊งไปบ้าง ลดพนักงานบ้าง และเมื่อมนุษย์เงินเดือนไม่มีเงินจับจ่าย การซื้อขายในท้องตลาดก็ลดปริมาณลงอย่างมโหฬาร ซึ่งทำให้ไม่มีการผลิตเพิ่ม จ้างงานเพิ่ม ลงทุนเพิ่ม เป็นวงเวียน เข้าสู่ภาวะของการซึมยาว

 

ทางแก้ที่ใช้กันเป็นสากลก็คือใช้เงินจากภายนอก อัดฉีดเข้าสู่ระบบ แต่การอัดเงินเข้าระบบก็มีหลายวิธี  และมีข้อดีข้อเสียต่างกัน

-          ทางแรกก็คืออัดเข้าทางธนาคาร แต่บ่อยครั้งที่พบว่าวิธีนี้ล้มเหลว เพราะธนาคารมักจะเอาเงินไปเก็บไว้เฉยๆ หรือปล่อยกู้อย่างเข้มงวด ดอกเบี้ยสูง ทำให้เงินที่เข้าไปในระบบหมุนช้าและถูกดองไว้ในระบบธนาคาร

-          ทางทีสองก็คืออัดฉีดเข้าไปทางคนชั้นกลาง ทางเจ้าของกิจการ ผ่านเงินกู้หรือโครงการช่วยเหลือต่างๆ แต่วิธีนี้ก็ไม่เหมาะกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นกัน เพราะคนชั้นกลางมักจะมีวินัยการเงินมากกว่า ถ้าเอาไปลงทุนต่อยอด ก็ต้องวางแผนกันอย่างรอบคอบ บางส่วนอาจจะหายไปกับการกลายเป็นเงินออม เงินทุน การอัดฉีดแบบนี้ จะเหมาะกับช่วงเศรษฐกิจกำลังเติบโตขยายตัวมากกว่าช่วงเศรษฐกิจฟุบ

 

-          ทางสุดท้ายที่ง่ายที่สุดและสะดวกที่สุด ก็คืออัดฉีดเข้าไปทางรากหญ้า โดยผ่านการจ้างงานในท้องถิ่น เพราะลักษณะของรากหญ้าก็คือวินัยการออมเงินต่ำ ได้มาใช้ไป อย่างตอนเช้ารับจ้างได้มาสามร้อยห้าร้อย ตกเย็นก็ตั้งวงล้อมขวดเหล้าหมดแล้ว เงินก็เลยถูกอัดเข้าสู่ระบบได้รวดเร็วทันใจ ส่วนพวกโครงการอะไรพวกนั้น มันเป็นแค่จุดประสงค์รองเท่านั้นแหละครับ จุดประสงค์หลักก็คือเอาเงินเข้าระบบ

 

อย่างไรก็ดี การอัดเงินเข้าทางรากหญ้านั้นมีสิ่งที่จะต้องระวัง ข้อแรก อย่าให้เป็นการแจกเงิน เพราะจะกลายเป็นประชานิยม และทำลายวินัยการทำงานของประชาชน กลายเป็นงานการไม่ทำมารอเงินแจก ข้อที่สอง เงินที่ให้จะต้องไม่มากจนเกินไป เพราะอย่างที่บอกว่ารากหญ้านั้นมีวินัยการใช้เงินต่ำ ถ้าแจกน้อยๆ ผลลัพธ์จะจบแค่ใช้หมดเป็นศูนย์ แต่ถ้าให้มากเกินสมควร มันจะถูกเอาไปสร้างเป็นสภาพหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ หรือไม่ก็ถูกใช้ในการทำธุรกิจที่ขาดการวางแผนทำให้กลายเป็นสภาพหนี้ อย่างที่เกิดกับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านของทักษิณจำนวนมาก ที่กู้เอาไปถอยรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกบ้าง หรือเอาไปทำธุรกิจขายเครื่องกรองน้ำ ฯลฯ พอไม่มีเงินผ่อนต่อ รถก็ถูกยึดบ้าง ธุรกิจล้มเหลวกลายเป็นหนี้เป็นสินบ้าง กลายเป็นภาระของทั้งเจ้าตัวและทั้งสังคม

 

การอัดฉีดเงินสู่ระบบทางรากหญ้าไม่ใช่เพิ่งมามีนะครับ สมัยมรว.คึกฤทธิ์ ก็เคยทำเป็นเงินผันคึกฤทธิ์ลงสู่ท้องถิ่น ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยโตเร็วขึ้นในระดับหนึ่งก็จริง แต่ผลเสียก็คือทำให้คนไทยเคยชินกับการจ้างวาน ซึ่งทำให้ระบบ "ลงแขก" ในท้องถิ่นหายไป ทำให้การทำนามีต้นทุนสูงขึ้น

 

ในอเมริกาเองก็เคยมีการใช้ระบบนี้ ในสมัยปธน.แฟรงกลิน ดี รูสเวลล์ ในช่วงปี 1829 ที่อเมริกาเผชิญหายนะเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทั้งตลาดหุ้นล่ม และพายุฝุ่นจากการทำเกษตรแบบทำลายผิวดิน คนอเมริกาตกงานทันทีเป็นล้านๆ จนปธน.ฮูเวอร์แก้ไม่ไหว ต้องลาออก รูสเวลล์ใช้วิธีสร้างงานทั่วประเทศทั้งถนน ทั้งทางรถไฟเพื่อแก้ไขภาวะว่างงานและปั๊มเงินเข้าระบบ ไม่นานนัก เศรษฐกิจอเมริกาก็กลับเข้าที่อีกครั้ง

 

ปัญหาของสื่อบ้านเราก็คือส่วนใหญ่จะเอียงซ้าย และมีมุมมองว่าทุกคนเท่าเทียมกัน (เหมือนๆกัน) ดังนั้นพวกนี้จะไม่ยอมทำความเข้าใจกับความแตกต่างของการ Treat คนต่างระดับกันแตกต่างกัน จึงทำให้การแก้ปัญหาแบบถูกฝาถูกตัวของประชาธิปัตย์ไม่เคยเข้าตาและถูกใจคนพวกนี้ครับ  -_-




#893907 เสนอม๊อบ แก้ปัญหาที่ต้นต่อ บังคับให้รัฐบาลเอาทักษิณมาดำเนินคดี

Posted by isa on 7 November 2013 - 16:36

จริงๆแล้วไม่ใช่แค่ทักษิณหรอกครับ แต่ปัญหาที่เดินมาถึงจุดนี้ เพราะนักวิชาการและสื่อซ้ายส่วนหนึ่ง

ที่หวังอาศัยทุนของทักษิณเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นสังคมนิยมด้วย

 

พวกนี้อาศัยวาทกรรมอำพราง หลอกลวงประชาชน ปั้นทักษิณให้เป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย

ทั้งๆที่ไอ้นี่แหละเป็นเผด็จการรัฐสภา & ตำรวจ แบบจอมพลป. แถมยังคอรัปชั่นสุดๆ

ก็ยังหลับหูหลับตาเชียร์ ทำให้สังคมสับสน

 

ในสายตาของซ้ายพวกนี้ คนชั้นกลางที่ออกมาขับไล่ทักษิณ เขาไม่นับเป็นประชาชนอยู่แล้ว

เพราะประชาชนของเขาคือกรรมการ คือชาวนา คือคนเสื้อแดงรากหญ้า เขาไม่คิดหรอกว่า

พวกเราต่างหากคือคนที่รับผิดชอบสังคม เขาปล้นคำว่า "ประชาชน" ไปจากเราครั้งแล้วครั้งเล่า

ยัดเยียดภาพลักษณ์ของเผด็จการ คนเอาเปรียบสังคม คนทำนาบนหลังคนให้กับเรา

 

แม้จะโดนทักษิณถีบหัวส่งหลายหน คนพวกนี้ก็ยังไม่เข็ดหลาบ ยังหลับหูหลับตาต่อไป

ด้วยความคิดในกะลาวิชาการของตัวเองที่อยากจะโค่นสถาบันกษัตริย์ ทำลายศาสนา

บ่อนทำลายทหาร ที่พวกเขามองว่าเป็นสิ่งล้าหลังในสังคม  เป็นพวกเผด็จการ

 

...ประชาคมการศึกษา จะทำยังไงกับคนพวกนี้ดี...?  <_<




#891407 เรื่องที่น่าเสียใจที่สุด เมื่อเข้าดูเวปเสรีไทย ในช่วงนี้??????

Posted by isa on 6 November 2013 - 17:22

ผมเสนอให้มีแต้ม "unlike" สำหรับกด และแต้มนั้นจะไปหักลบออกจากแต้ม Like ที่ใช้ไปแล้วให้มารีไซเคิล.ใหม่ได้นะครับ

กระทู้ของแดงขาประจำหน้าเดิมๆจะได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้าง  ;)




#883715 ทำผิดเมื่อยึดติดความดี

Posted by isa on 1 November 2013 - 11:21

ธรรมะก็คือธรรมชาติ มีหลายระดับ ไม่ต่างจากการขับรถ ศิลปะการต่อสู้ หรืออื่นๆ

 

ในระดับเบื้องต้น ก็ต้องยึดความดีพื้นฐานเบื้องต้นเป็นหลัก รักษาศีล บำเพ็ญทาน เอาความดีเป็นหลักยึด

 

เหมือนคนขับรถ เบื้องต้นก็ต้องเรียนรู้หลักการออกรถ การควบคุมรถ การให้สัญญาณจราจร ฯลฯ และยึดไว้เป็นหลัก

 

เหมือนคนฝึกศิลปะการต่อสู้ ต้องรู้จักท่ายืน ท่าเดิน การตั้งการ์ด กระบวนท่าเบื้องต้น การปล่อยหมัด การใช้แรง ฯลฯ ยึดตามลำดับไว้ก่อน

 

ต่อเมื่อหลักทั้งหมดซึมซาบเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกับกายใจ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตอนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดอีก จะปล่อยก็ปล่อยได้

เพราะความดีอยู่ที่ใจแล้ว ทำอะไรก็เป็นธรรมะ พูดอะไรก็เป็นธรรมะ เพราะมีสติกำกับตลอด ศีลกลายเป็นอินทรีย์สังวร ไม่จำเป็นต้องมานั่งดูอีก

ทำทานโดนธรรมชาติด้วยจิตใจที่ดี  

 

เหมือนคนที่ขับรถเก่งแล้ว การออกรถ การเบรค ฯลฯ ทุกอย่างกลายเป็นสัญชาตญาณ ไม่ต้องยึดหลักอีก  หรือนักต่อสู้ป้องกันตัว ที่

สามารถออกหมัด โยกหลบ เข้าออกได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะทุกอย่างซึมซาบเข้ากายใจไปแล้ว

 

...แต่ทุกอย่างต้องเริ่มด้วยหลักเบื้องต้นยึดแนวทางเสียก่อน ต่อชำนาญแล้วจึงจะวางหลักได้

จู่ๆจะให้มนุษย์ทุกคนมีธรรมะเสมอกัน ขับรถเก่งเหมือนกัน เก่งวิชาต่อสู้ป้องกันตัวเหมือนกัน

ไม่ใช่เรื่องที่จะมีได้

 

...และการเอาธรรมะมาอ้างเพื่อสนับสนุนความชั่ว...ถือเป็นความชั่วร้ายที่สุดประการหนึ่ง!!!  -_-




#868456 เสกสรรค์ ประเสริฐกุล 40ปี 14ตุลา 13 10 56

Posted by isa on 14 October 2013 - 15:46

ปาฐกถานี้ผมบอกเลยนะ

 

"คับแคบ" "หมกมุ่น" และ "มากอคติ" คือมุมมองของเสกสรรค์

 

หมกมุ่นอยู่กับเรื่องอำนาจ การเมือง ชนชั้น ราวกับว่ามีแต่สิ่งเหล่านี้ที่เป็นตัวแปรของสังคม

 

เรียกว่าแทบจะโยนขี้ทั้งบ่อให้คนชั้นปกครองและคนชั้นกลางก็ว่าได้

 

ทั้ง ๆ ที่สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนรายได้น้อยมีคุณภาพชีวิตไม่ดี ก็คือการขาดวินัยทางการเงินส่วนตัวและครอบครัว

 

และความเป็นจริงคือ มีคนรายได้น้อยมากมายที่ยกระดับคุณภาพชีวิตได้ด้วยวินัยทางการเงิน โดยไม่มีอำนาจการเมืองหรือกฎหมายใด ๆ มากดพวกเขาไว้ได้เลย

 

ตัวอย่างเรื่องพื้นที่ในสถานศึกษา ก็จัดว่าละเมอเพ้อพก เมื่อเสกสรรค์บอกว่าลูกหลานคนมีรายได้สูงคือคนที่ยึดครองพื้นที่ในสถานศึกษา

 

มันตรงข้ามกับความจริงที่ผมพบ คนจนกว่าผมกำลังเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน ด้วยกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา

 

ในขณะที่ลูกหลานคนรวยจริง ๆ มีไม่เยอะหรอกครับที่แย่งที่เรียนในมหาลัยไทย เขาส่งลูกเรียนนานาชาติและส่งไปเรียนเมืองนอกกันต่างหาก

 

คำปลุกระดมที่คับแคบ หมกมุ่น และมากอคติแบบนี้ไม่ใช่หรือ ที่ทำให้ชนชั้นล่างในเขมรลุกขึ้นมาเข่นฆ่าคนที่รวยกว่า

 

 

อีกอย่าง เสกสรรค์ไปหลับอยู่ที่ไหน ถึงตำหนิคนชั้นกลางจนดูเลวทรามแล้งน้ำใจ 

 

ไม่ใช่คนชั้นกลางหรือ ที่ช่วยบริจาคทรัพย์ บริจาคแรงในยามชาติประสบภัยพิบัติ

 

ไม่ใช่คนชั้นกลางหรือ ที่ตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม ออกมาปกป้องทรัพยากรส่วนรวมของชาติ

 

เห็นด้วยกับความเห็นนี้ครับ

 

เมื่อวานนั่งคุยกับพี่สาวที่เป็นครูมัธยมต้น  แล้วก็เห็นภาพชัดๆเลยว่าอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้รากหญ้าไม่หมดไปจากสังคมไทยก็คือ

"การผลิตซ้ำ"

 

การสร้างคนชั้นกลางขึ้นมา 1 คนเพื่อมารับภาระประเทศในอนาคต ภาระส่วนใหญ่ไม่ได้ตกอยู่กับรัฐ แต่ตกอยู่กับพ่อแม่ และภาระนี้ก็หนักขึ้นทุกที

ประมาณว่าจะสร้างเด็กปริญญาตรี 1 คน พ่อแม่ต้องใช้เงินเฉพาะการศึกษาอย่างเดียวไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท

คนชั้นกลางจำนวนมากจึงจำกัดสร้างคนชั้นกลางรุ่นใหม่ไว้แค่คนเดียว หรือไม่สร้างเลย

 

ขณะที่รากหญ้ารุ่นใหม่ๆถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ในจังหวัดที่พี่สาวผมสอนอยู่ เด็กได้เสียกันตั้งแต่อายุน้อยๆ และเมื่อเลิกกัน (ซึ่งเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว)

เด็กก็จะถูกเอาไปโยนให้ปู่ย่าเลี้ยง โดยที่พ่อแม่จริงจะแทบไม่มาดูดำดูดี และต่างฝ่ายต่างแยกกันไปมีครอบครัวของตัวเอง เด็กเหล่านี้ส่วนหนึ่ง

ก็โตขึ้นมาเป็นปัญหาสังคม ไม่ตั้งใจเรียน นี่เป็นอีกรูปแบบของการผลิตซ้ำรากหญ้า 

 

ทุกวันนี้ทางรัฐกำหนดการศึกษาขั้นต่ำให้อยู่ที่ ม.3 ทำให้ครูมัธยมต้นต้องรับบทหนักในการติดตามเด็กเพื่อทำทุกทางให้เด็กเรียนจบในชั้นนี้ให้ได้

แต่เท่าที่ฟังพี่ผมเล่า มีเด็กน้อยนักที่จะตั้งใจเรียนแค่จะให้จบครบทุกวิชา และเด็กที่จบแค่ม.3 แบบกระพร่องกระแพร่ง จะไปทำอะไรได้ในสังคมยุคใหม่

นอกจากจะเป็นรากหญ้า

 

เรายังไม่พูดถึงรากหญ้าที่ทำงานแค่พอตัวเองอายุ 40 กว่าๆ พอส่งลูกเรียนขั้นต้นจบ ก็เลิกส่งให้ลูกๆดิ้นรนกันเอง แถมตัวเองยังลาออกมาให้ลูกๆส่งเงินเลี้ยง

พ่อแม่ที่ตัดอนาคตพวกลูกๆพวกนี้ก็มีตัวตนอยู่มากมาย แม้จะไม่ทำให้ลูกกลายเป็นรากหญ้าไปเลย แต่ก็ทำลายศักยภาพในการสร้างคนรุ่นใหม่ๆที่ดีกว่าเดิม

 

...มีแต่พวกเอียงซ้ายกะลาครอบเท่านั้นแหละ ที่มองไม่เห็นความเป็นจริงที่ว่า "คนที่สร้างรากหญ้าจริงๆแล้ว ก็คือรากหญ้านั่นแหละ"   <_<




#852352 กรุงเทพฯ เมืองจักรยาน กับผลของ Car Free Day

Posted by isa on 23 September 2013 - 17:30

สมัยที่อยู่ญี่ปุ่นเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ก็เห็นว่าคนญี่ปุ่นใช้จักรยานกันเยอะนะครับ ตามสถานีรถไฟ จะมีจักรยานจอด

เป็นพันๆคันเลยทีเดียว แต่การใช้จักรยานของคนญี่ปุ่นจะสัมพันธ์กับการคมนาคมด้วยเครือข่ายรถไฟของเขา

โดยที่คนที่บ้านอยู่ห่างจากสถานีรถไฟไม่มาก ก็จะเดินไปขึ้นรถไฟ คนที่อยู่ห่างออกไปหน่อย ก็จะใช้จักรยาน 

แต่ถ้าห่างออกไปมากๆก็จะใช้รถเมล์มาที่สถานีรถไฟ แล้วค่อยต่อรถไฟไปทำงาน ซึ่งทั้งเด็กนักเรียน หรือผู้ใหญ่

วัยทำงานก็จะทำแบบเดียวกัน เว้นแต่คนที่มีครอบครัว ภรรยาก็จะขับรถมาส่งสามีไปทำงาน 

 

สมัยที่ผมอยู่ต่างจังหวัดสมัยเด็กๆ ทั้งนักเรียนทั้งครูก็ใช้จักรยานกันเยอะเหมือนกัน เว้นแต่ครูที่บ้านอยู่ไกลมาก

ก็จะใช้มอเตอร์ไซค์

 

อย่างถ้าจะเปลี่ยนกรุงเทพฯเป็นเมืองจักรยาน ผมว่าก็ยังสับสนอยู่นะ ถ้าจะเอาแบบยุโรป ก็คือรอบนอกเมืองใหญ่

ใช้รถยนตร์หรือรถไฟกัน แต่พอเข้าเขตเมือง หรือแหล่งท่องเที่ยว ก็จะกันรถยนตร์ไม่ให้เข้า ให้เป็นถนนคนเดินหรือถนน

จักรยานเท่านั้น อย่างที่เห็นในสารคดีของกรงปารีส หรือบางที่ก็จะเป็นแบบนี้

 

แต่ถ้าเป็นแบบญี่ปุ่น ก็คือสร้างเครือข่ายขนส่งสาธารณะขนาดใหญ่อย่างรถไฟ และจัดหาที่จอดจักรยานให้กับผู้เดินทาง

นั้่นก็คือ นอกเมืองจะใช้จักรยาน แต่ในเมืองนั้น จะเข้าถึงด้วยรถไฟ หรือรถสาธารณะอย่างอื่น  (อาจจะมีรถยนตร์ส่วนตัวบ้่าง)

แต่สำหรับเมืองไทย ผมว่าการจะสร้างเลนจักรยานร่วมไปกับถนนทุกสายก็เป็นเรื่องยากนะครับ เราเลียนแบบการสร้างถนนแบบอเมริกามานาน

แล้วก็เละพอๆกับอเมริกามาจนปัจจุบัน ถ้าจะสร้างเส้นทางจักรยานที่เป็นเอกเทศต่างหาก ลัดเลาะไปตามซอย และให้มีสะพานลอย หรือทางข้ามที่ปลอดภัยบนถนนหลักๆ อาจจะง่ายกว่าการสร้างเลนจักรยานควบคู่ไปกับถนนใหญ่ทุกสายก็เป็นได้นะ




#841231 ฮือฮา นศ.ธรรมศาสตร์ ใช้ภาพร่วมเพศ ต่อต้านถูกบังคับใส่ชุด "นักศึกษา"

Posted by isa on 11 September 2013 - 17:45

....สมัยเรียนผมก็ไม่ยึดติดกับเครื่องแบบนะ สิ่งที่สัมผัสได้จากการแต่งตัวแบบคนธรรมดาทั่วๆไป (เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าสาน) ก็คือ เวลาที่เราเดินออกจากมหา'ลัยออกไปปะปนกับผู้คนภายนอกที่่ท่าพระจันทร์ หรือสนามหลวง เราจะรู้สึกว่าเราเป็นประชาชนธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นสิทธิชนที่แปลกแยกแตกต่างจากประชาชนคนอื่นๆ คำที่สอนว่า "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน" จึงเป็นจริงได้สำหรับเรา เพราะเราก็คือประชาชนคนหนึ่ง

และมันเปิดโอกาสให้เราเฝ้าสังเกตสังคมได้โดยกลมกลืนตัวเองเข้าไปกับสังคม ดูมันอย่างที่มันดำเนินไปจริงๆรอบตัว ไม่ใช่ไปศึกษาวิจัยแบบเป็นแต่งชุดลงไป ทำแบบสอบถาม ขอสัมภาษณ์ เป็นทางการ ซึ่งก็ไม่แปลกที่ผลที่ได้รับก็จะเป็นข้อมูลจำเพาะเฉพาะหัวข้อ จงใจตกแต่ง บิดเบือนจากความเป็นจริงโดย Source และถูกจำกัดบิดเบือนต่อโดยมุมมองและทฤษฎีของผู้วิจัย  อย่างที่พวกนักสังคมศาสตร์หอคอยงาช้างศึกษาแล้วเอาไปสรุปตามอคติตัวเอง จนมองสังคมเอียงกระเท่เร่ กลายเป็นยกรากหญ้า ข่มคนชั้นกลางจนสุดขั้วอย่างที่เป็นๆกันอยู่เดี๋ยวนี้

 

 

...แต่ถ้าเป็นเสรีภาพการแต่งกายที่เชิดชูอัตตาของตัวเอง แสดงว่าไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องของเสรีภาพในการแต่งกายแล้วล่ะ... -_-




#840803 เมื่อรัฐบาลบอกว่า น้ำประปาดืมได้ แต่ช่วยมาดูรุปนี้ที่มันจะดื่มได้ไหม

Posted by isa on 11 September 2013 - 12:06

จะบอกว่าที่โดนค่าปรับไม่ใช่เฉพาะผู้ใช้น้ำนะคะ 

 

 

พนักงานก็โดนเหมือนกันค่ะ ที่ สาขาบ้านโป่งเริ่มดำเนินการปรับแล้ว 

 

แสดงว่าคุณ Pink อยู่แถวๆบ้านโป่ง ....ทำให้นึกถึงคำว่า "คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่งขึ้นมาทันที..."  :)