แฉจำนำข้าวเจ๊งแสนล้าน!
“ยิ่งลักษณ์” เดินหน้ามอมเมารากหญ้า แจกบัตรเครดิตเกษตรกร ฟุ้งรูดปรื๊ดซื้อ “มือถือ-มอ'ไซค์” ไม่ได้ ส.ส.เพื่อไทยปูดกลางวงสัมมนาพรรค จำนำข้าวมีปัญหา หลายเรื่องส่อแววโกง “ธ.ก.ส.” เตรียมสรุปบัญชีฤดูผลิต 2554/2555 คาดเจ๊งกว่าแสนล้านบาท “บุญทรง” เล็งโละมันสำปะหลังยกล็อตให้จีน คาดขาดทุน 1.2 หมื่น ล. เอกชนชี้โครงการกลิ่นตุทั้ง “จำนำลม-เพื่อนบ้านสวมสิทธิ”
นโยบายประชานิยมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเฉพาะการจำนำสินค้าเกษตร ที่ปัญหาในหลายเรื่องยังไม่ได้รับการแก้ไขและดูเหมือนไม่สนใจ โดยรัฐบาลยังคงเดินหน้านโยบายประชานิยมต่อ ซึ่งล่าสุดได้เปิดตัวโครงการบัตรสินเชื่อเกษตร ที่ จ.ร้อยเอ็ด ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ จ.สุรินทร์ 29-30 กรกฎาคมนี้
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดโครงการว่า เคยมาหาเสียงที่ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด และใน 1 ปีรัฐบาลได้ผลักดันการจัดทำบัตรสินเชื่อเกษตรกร ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วที่จะนำแจกจ่ายให้เกษตรกรทั่วประเทศ โดยบัตรจะให้วงเงิน 70% ของผลผลิตที่เหลือขาย โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะเป็นผู้พิจารณา ส่วนที่หลายคนกังวลว่าบัตรดังกล่าวจะเพิ่มภาระให้กับประชาชนหรือไม่นั้น การใช้บัตรนี้จะแตกต่างกับการใช้บัตรเครดิตทั่วไป เพราะไม่สามารถนำไปซื้อมือถือหรือมอเตอร์ไซค์ได้ แต่จะซื้อได้เฉพาะปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการผลิต และต้องใช้บัตรควบคู่กับประชาชน เพื่อให้เกษตรกรมีเงินเหลือในการดูแลครอบครัว
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวต่อว่า เรื่องดอกเบี้ย ธ.ก.ส. จะไม่มีการเก็บใน 4 เดือนแรก และร่วมกับร้านค้าทั่วไปอีก 1 เดือน ดังนั้น 5 เดือนจะไม่เก็บดอกเบี้ยจากรอบการผลิตแรก แต่หากเกิน 5 เดือนแรกก็จะเก็บดอกเบี้ย 7% ซึ่งไม่เสียวินัยการเงินการคลัง และหากชำระตรงก็จะขยายวงเงินให้อีก โดยบัตรดังกล่าวใน 3 เดือนที่ผ่านมา ธ.ก.ส.ได้นำร่องแจกแล้ว 5 จังหวัด และวันนี้จะเป็นวันแรกที่แจกจ่ายทั่วประเทศ โดยเริ่มจากประชาชนที่ปลูกข้าวก่อน และในอนาคตจะดูแลประชาชนที่ปลูกผลิตผลอื่นต่อไป จากนั้นนายกฯ ได้ชมการสาธิตใช้บัตรสินเชื่อเกษตรกรผ่านเครื่องรูดบัตรอีดีซี
สำหรับปัญหาโครงการรับจำนำข้าวนั้น ในการสัมมนาของพรรคเพื่อไทย (พท.) ในการประชุมกลุ่มย่อยเรื่อง “การปรับขบวนภายใน บทบาทและทิศทางการเมืองของเพื่อไทย” นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ยอมรับว่า สิ่งที่ ส.ส.ภาคเหนือเป็นห่วงคือการรับจำนำข้าวที่ต้องมีกระบวนการสื่อสารไปถึงรัฐมนตรี เพราะวันนี้เข้าพบรัฐมนตรียาก ควรมีคณะกรรมการชุดหนึ่งมาช่วยประสานงาน ส.ส.เพื่อนำปัญหาไปบอกรัฐมนตรี และขอให้ติดตามดูแลการใช้งบประมาณแผ่นดินไม่ไห้มีการทุจริต เพราะจากการที่ ส.ส.ได้ไปติดตามเห็นหลายเรื่อง ส่อไปถึงการทุจริตคอรัปชั่น
ขณะเดียวกัน นายบุญช่วย เจียดำรงค์ชัย รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เผยว่า ขณะนี้คณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน กำลังเร่งปิดบัญชีรับจำนำข้าวนาปีฤดูกาลผลิต 2554/2555 คาดว่าไม่เกินกลางเดือน ส.ค.จะได้ข้อสรุปชัดเจนก่อนนำเสนอไปยังรัฐบาลในการจัดสรรวงเงินชดเชยให้ธนาคาร
ประเมินจำนำข้าวเจ๊งแสน ล.
“ประเมินในเบื้องต้นพบว่าโครงการมีผลขาดทุนถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งการประเมินของคณะกรรมการชุดนี้จะใช้ทั้งตัวเลขการระบายข้าว สต็อกข้าว ราคาข้าวในตลาด รวมถึงต้นทุนการรับจำนำจากหน่วยงานต่างๆ ประกอบการพิจารณาด้วย” นายบุญช่วยกล่าว
ก่อนหน้านี้ ธ.ก.ส.ประเมินว่าโครงการปีนี้จะขาดทุนไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ประเมินว่าไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท ส่วนนักวิชาการประเมินว่าจะเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท
นายบุญช่วยยังกล่าวถึงโครงการพักชำระหนี้ดีว่า มีลูกค้ามีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการล่าสุดเหลือเพียง 2.76 ล้านราย มูลหนี้ 3.21 แสนล้านบาท ลดลงจากเดิมจากมติ ครม.เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่กำหนดไว้ 2.94 ล้านราย มูลหนี้ 3.96 แสนล้านบาท เนื่องจากลูกค้าของ ธ.ก.ส.บางส่วนได้รับการช่วยเหลือจากโครงการรัฐบาลไปก่อนหน้านี้แล้ว 1.85 แสนราย มูลหนี้ 7.5 หมื่นล้านบาท และจนถึงวันที่ 27 ก.ค. มีลูกค้ามาแสดงความประสงค์แล้ว 2.4 ล้านราย มูลหนี้ 2.7 แสนล้านบาท หรือ 87.16% ของลูกค้าที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ โดยลูกค้าแจ้งขอความร่วมโครงการพักหนี้ 2.1 ล้านราย มูลหนี้ 2.4 แสนล้านบาท คิดเป็น 90% ของลูกหนี้ที่มาแสดงความประสงค์ และมีลูกค้าที่ไม่ขอเข้าร่วมโครงการ 2.6 แสนราย มูลหนี้ 2.8 หมื่นล้านบาท หรือ 10% ของลูกหนี้ที่มาแสดงความประสงค์ ซึ่งบางส่วนเป็นลูกหนี้ที่ใกล้ชำระหนี้เกือบหมดและต้องการไถ่ถอนที่ดินคืน
ส่วนลูกหนี้ที่ยังไม่ได้มาแจ้งความประสงค์อีกกว่า 3 แสนรายนั้น หากถึงวันที่ 20 ส.ค. ที่ปิดการลงทะเบียน ธ.ก.ส.จะให้ลูกหนี้เข้าสู่โครงการพักหนี้อัตโนมัติตามนโยบายของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.การคลัง ที่ขณะนี้ได้สั่งการด้วยวาจามายัง ธ.ก.ส.แล้ว ซึ่งลูกหนี้จะได้รับสิทธิ์ลดดอกเบี้ยทันที 3% ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการนั้นส่วนใหญ่ขอพักทั้งเงินต้นและลดดอกเบี้ย 3% โดยมีสัดส่วนถึง 87% มีจำนวน 1.8 ล้านราย มูลค่า 2.20 แสนล้านบาทนั้น ส่วนอีก 13% ขอพักแค่ดอกเบี้ย 3% โดยมีจำนวน 2.7 แสนราย มูลหนี้ 2.8 หมื่นล้านบาท
โละมันสำปะหลังขายจีน
ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ยังเผยถึงแผนการระบายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในสต็อกของรัฐบาลว่า ได้เจรจาหารือกับทางการจีนไว้แล้ว เพื่อขายมันสำปะหลังที่ได้รับมาจากโครงการจำนำมันสำปะหลังฤดูกาลปี 2555 และมันที่อยู่ในสต็อกเก่าให้จีนทั้งหมด ทั้งมันเส้นและแป้งมันสำปะหลัง ส่วนรายละเอียดราคาและปริมาณการขายยังอยู่ระหว่างการเจรจา ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ยืนยันว่าเป็นราคาที่ใกล้เคียงราคาตลาด ซึ่งที่ผ่านมาจีนถือเป็นผู้นำเข้ามันสำปะหลังรายใหญ่อันดับหนึ่งของไทย และไทยมีการส่งออกไปจีนมากกว่า 90% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด
“นอกจากนี้จะสั่งให้เจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบโครงการรับจำนำมันสำปะหลังที่ผ่านมาว่ามีความผิดปกติหรือไม่ หลังจากได้รับร้องเรียนว่าในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ที่รัฐบาลปรับขึ้นราคาจำนำมันได้ส่งผลให้มีปริมาณมันสำปะหลังเข้าโครงการสูงขึ้นผิดปกติ โดยจะดูว่ามีการนำมันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาสวมสิทธิในโครงการ หรือมีนายทุนที่ไม่ใช่เกษตรกรตัวจริงเข้ามาใช้สิทธิหรือไม่” นายบุญทรงกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเดือน พ.ค.2555 ครม.ได้มีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ระบายสต็อกมันสำปะหลังใน 4 แนวทาง หรือเลือกทางใดทางหนึ่ง ได้แก่ 1.เปิดขายทั่วไป 2.ขายแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) 3.ผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า และ 4.ขายแบบพิเศษ โดยปริมาณมันสำปะหลังที่รัฐบาลได้จากการรับจำนำฤดูกาล 54/55 คาดว่ามีประมาณ 9.5 ล้านตัน แปรรูปเป็นมันเส้นประมาณ 2.5 ล้านตัน แป้งมันสำปะหลังไม่ต่ำกว่า 7.8 แสนตัน ส่วนราคามันสำปะหลังภายในประเทศ ปัจจุบันหัวมันสดภายในประเทศเชื้อแป้ง 30% มีราคา กก.ละ 2.60-3.00 บาท มันเส้น กก.ละ 6.40-6.50 บาท แป้งมันสำปะหลัง กก. 13.00-13.20 บาท ส่วนราคาส่งออกมันเส้นเอฟโอบีอยู่ที่ตันละ 230 -235 ดอลลาร์ และแป้งมันสำปะหลังตันละ 440-450 บาท ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันหากรัฐส่งออกโดยใช้ราคาส่งออกมันเส้น (เอฟโอบี) อยู่ที่ตันละ 230-235 ดอลลาร์ จะทำให้รัฐบาลมีโอกาสขาดทุนสูง กก.ละกว่า 1 บาท ซึ่งหากเทียบการจำนำมันทั้งหมด 12.78 ล้านตัน จะทำให้ขาดทุนมากกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท
นายเสรี เด่นวรลักษณ์ นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวว่า ต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบความผิดปกติจากการเปิดโครงการรับจำนำ เพราะพบว่าการรับจำนำหัวมันสด ตั้งแต่ช่วงแรกวันที่ 1 ก.พ.-31 พ.ค. และต่อมารัฐบาลได้ขยายโครงการอีก 1 เดือน จนถึง 30 มิ.ย. มีปริมาณหัวมันสดเข้าโครงการจำนำมากผิดสังเกต ทั้งที่เป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว และปกติมีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย
เอกชนชี้จำนำมันกลิ่นตุ
"สมาคมได้ติดตามความผิดปกติในการเก็บเกี่ยวและการผลิตมันเส้นและแป้งมันสำปะหลัง พบว่า หลังสงกรานต์ซึ่งเข้าช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว กลับมีปริมาณหัวมันสด มันเส้นและแป้งมันที่เข้าสู่โครงการมีปริมาณสูงกว่าความจริง สวนทางกับปริมาณหัวมันสดที่เข้าสู่ตลาด และในลานมันที่มีการผลิตเป็นมันเส้นน้อยมาก ขณะเดียวกันได้เกิดกระแสข่าวเกี่ยวกับการทุจริตทั้งการสวมสิทธิใบประทวน การนำมันสำปะหลังต่างชาติเข้ามาทางชายแดนเพื่อสวมสิทธิ รวมทั้งบางพื้นที่มีการสต็อกลมหรือนำสินค้าคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์กำหนดเข้าร่วมโครงการ” นายเสรีกล่าว
เขาระบุอีกว่า การติดตามข้อมูลพบว่า การรับจำนำหัวมันสดช่วงเดือน ก.พ.2555 มีปริมาณเข้าร่วมโครงการแค่ 6 แสนตัน แปรรูปเป็นมันเส้นได้ 1.7 แสนตัน และแป้งมัน 4.5 หมื่นตัน เดือน มี.ค.มีหัวมันสดเข้ามา 2.84 ล้านตัน แปรรูปเป็นมันเส้น 8.1 แสนตัน แป้งมัน 1.9 แสนตัน ขณะที่ช่วงก่อนสงกรานต์วันที่ 1-15 เม.ย. มีหัวมันสดเข้า 1.1 ล้านตัน แปรรูปเป็นมันเส้น 2.67 แสนตัน แป้งมัน 1 แสนตัน ช่วงหลังสงกรานต์วันที่ 16-30 เม.ย.55 มีหัวมันสดเข้า 1.34 ล้านตัน แปรรูปเป็นมันเส้น 3.75 แสนตัน แป้งมัน 9.9 หมื่นตัน เดือน พ.ค. มีหัวมันสดเข้า 2.81 ล้านตัน แปรรูปเป็นมันเส้น 6.69 แสนตัน และแป้งมัน 2.71 แสนตัน และวันที่ 1-21 มิ.ย. มีหัวมันสดเข้า 5.5 แสนตัน แปรรูปเป็นมันเส้น 1.2 แสนตัน และแป้งมัน 5 หมื่นตัน
วันเดียวกัน สำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญได้เผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง ประเด็นข่าวร้อน ผลงานยอดเยี่ยม และต้องปรับปรุงของรัฐบาล กับพฤติกรรมคนไทย ความหวัง และความกลัว ภายใต้การนำของรัฐบาลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 2,229 ตัวอย่าง พบว่า ข่าวที่ให้ความสนใจในช่วง 7 วันที่ผ่าน 91.6% ให้ความสนใจข่าวราคาสินค้า น้ำมันเชื้อเพลิง ปัญหาปากท้อง, 72.3% ข่าวโรคระบาดมือ เท้า ปาก, 68.9% ข่าวความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้, 65.5% ข่าวแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 60.1% ข่าวเปิดกีฬาโอลิมปิก
เมื่อถามถึงผลงานที่ต้องปรับปรุงของรัฐบาลใน 5 อันดับแรก ตลอดช่วง 6 เดือนของปี 2555 พบว่า 86.9% ระบุราคาสินค้า น้ำมันเชื้อเพลิง ค่าครองชีพ ปัญหาปากท้อง, 70.5% ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม, 69.3% ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้, 62.5% การเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม และ 58.1% ปัญหาคุณภาพเด็กและเยาวชน.
http://www.thaipost....ws/300712/60292
- สงสารสาวจันทร์ likes this